"ช้างไทย” ไม่ว่าจะเป็นช้างป่าอยู่ตามป่าทึบ หรือช้างบ้านลูกหลานช้างป่า ที่ถูกหมอช้างใช้คาถาอาคมผสมความชำนาญคล้องมาเป็นช้างบ้าน ก่อนป่าจะถูกปิดตั้งแต่ปี 2532 ต่างมีสมองและจิตวิญญาณเรียนรู้สรรพสิ่งรอบตัวได้ไม่ต่างมนุษย์

แต่ไม่ว่าจะเป็นคนหรือช้าง...ต่างก็ต้องอยู่ในวัฏสงสารเดียวกัน คือ เกิด แก่ เจ็บ และตาย อันเป็นธรรมดาของสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ ที่ผ่านๆมา...ช้างป่าเมื่อล้มตาย เนื้อหนังและกระดูกจะค่อยๆสลายไปเองตามธรรมชาติ ขณะช้างบ้านจะมีพิธีขุดหลุมฝังตามกำลังคนที่เลี้ยงดู แต่ไหนแต่ไรมา...ช้างบ้านแต่ละเชือกจึงมักถูกฝังกระจายกันไปตามถิ่นที่อยู่ทั่วประเทศ ที่ช้างเกิดล้ม จะด้วยอายุขัยหรือโรคภัยและอุบัติเหตุก็ตามที

เมื่อเป็นเช่นนี้...พระครูสมุห์หาญ ปัญญาธโร เจ้าอาวาสวัดป่าอาเจียง แห่งบ้านหนองบัว ต.กระโพ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ จึงได้ลุกขึ้นมาเป็นแกนนำคนในท้องถิ่น จัดสร้างสุสานช้างขึ้นภายในบริเวณวัด แล้วนำเอากระดูกเชือกที่ล้มและฝังอยู่ตามหลุมต่างๆ ทั่วประเทศ เท่าที่จะหาได้ มาบรรจุไว้ยังสุสานแห่งนี้

ปฐพีผืนสุดท้ายของเหล่าบรรดาคชสารไทย แต่ละหลุมมีการออกแบบเป็นรูปพระมาลานักรบครอบอยู่เหนือปากหลุม เพื่อเป็นการเทิดทูนบูชาช้าง ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองไทย ที่เคยเคียงข้างพระมหากษัตริย์ในการทำยุทธหัตถีตามประวัติศาสตร์ที่มีมายาวนาน

...

ช้างเหล่านี้ที่ล้มแล้ว...ล้วนถูกนำมาประกอบพิธีสวดมาติกาบังสุกุลโดยพระสงฆ์ พร้อมตั้งเครื่องเซ่นบูชา ประกอบด้วยผลไม้ที่ช้างชอบกิน เช่น กล้วยทั้งผลที่สุกและดิบกับลำต้น อ้อย หญ้าเนเปียร์ พอเสร็จก็จะฝังลงดินทิ้งไว้นาน 5 ปี เพื่อปล่อยให้เนื้อหนังย่อยสลายเหลือแต่กระดูก เพราะช้างเป็นสัตว์ใหญ่จำเป็นต้องใช้เวลานานกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ ...จากนั้นจะขุดเอากระดูกขึ้นมาทำพิธีสวดมาติกาบังสุกุล พร้อมจัดเครื่องเซ่นอีกครั้งหนึ่ง ก่อนบรรจุลงหลุมในสุสาน ซึ่งขณะนี้มีกระดูกช้างฝังอยู่กว่า 130 หลุม แต่ละหลุมมีป้ายปักบอกชื่อช้างให้เห็น

“พังตุ้ม” ซึ่งเคยถูกใช้เป็นช้างต่อล่อจับช้างป่า ถึงคราวล้มลงเมื่ออายุได้ 120 ปี

“พลายนวล” อดีตช้างต่ออยู่นาน 7 ปี ล้มลงเมื่ออายุได้ 120 ปีเช่นกัน “พลายบัวจูม” ช้างงางามที่เคยรับบทแสดงเป็นช้างศึก งานแสดงช้างประจำปี จ.สุรินทร์ ในทุกสัปดาห์ที่ 3 เดือนพฤศจิกายน ช้างเชือกนี้น่าเสียดายอายุยืนอยู่ได้เพียง 70 ปีเท่านั้นเอง...อีกเชือกคือ “พังคำมูน” อายุ 60 ปี ที่ล้มด้วยเหตุถูกรถชน เกิดเข้าฝันพระสมุห์หาญ ขอให้เอากระดูกกับวิญญาณของมันที่ล่องลอยอยู่ยังโลกต่างมิติ มาสถิตไว้ในสุสานร่วมโขลงเดียวกันกับเพื่อนช้างเชือกอื่นๆที่จบชีวิตแล้ว ท่านจึงต้องเที่ยวออกตามหา จนสามารถนำกระดูกมาได้พร้อมวิญญาณช้างเชือกนี้

นันธวัช ศาลางาม หรือ “แก๊ส” หัวหน้าควาญช้างสวนนงนุชพัทยา หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งสุสานช้างบ้านหนองบัว เล่าให้ฟังว่า สุสานนี้ถือเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ ใครจะมาลบหลู่ไม่ได้เด็ดขาด “เคยมีช่างก่อสร้างที่มารับงานในวัด ไม่เชื่อว่าวิญญาณช้างมีจริงในสุสาน ได้เคยเปล่งวาจาให้คนได้ยินกันบ่อยครั้ง จนวันหนึ่งเกิดอาการคลุ้มคลั่งไม่รู้สึกตัว แต่ตอบกับพระสมุห์หาญได้ว่า ตนเป็นวิญญาณช้างวัยรุ่นมาสิงอยู่ในร่างช่างคนนั้น เพราะโกรธแค้นที่มาอวดอุตริ”

พระสมุห์หาญต้องเอาน้ำมนต์พรมร่างช่างผู้อยากลองดี พร้อมขอขมาลาโทษแทน วิญญาณช้างเชือกนั้นจึงยอมออกจากร่าง ส่วนช่างหายสาบสูญไปจากวัดป่าอาเจียง โดยไม่มีใครเห็นเขานับแต่วันนั้นเป็นต้นมา

โลกต่างมิติของวิญญาณช้างแต่ละเชือกที่ฝังอยู่ในสุสานแห่งนี้ แก๊สบอกมีบ่อยครั้งที่เกิดปรากฏการณ์ แปลกๆให้ได้ยินประจำ เช่น คนเลี้ยงช้างเชือกที่ล้มแล้ว ชอบประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งชั่วร้าย ก็จะประสบความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ...รักษาอย่างไรก็ไม่หายขาด จนวิญญาณช้างต้องมาเข้าฝันให้จัดนำหัวหมู หัวไก่ มาขอขมา เหตุร้ายจึงหายไปทันที หรือคนที่มีปัญหาหากนึกถึงช้างคราใดปัญหานั้นก็จะหายไปในบัดดล!

...

หรือว่า...คนเลี้ยงช้างรายใดละเลยไม่ใส่ใจดูแลวิญญาณช้างที่จากไป บ่อยครั้งจะถูกช้างมาเข้าฝันเตือนให้นำอาหารคาวหวานกับผลไม้ที่ชอบมาถวาย ไม่เช่นนั้นจะเกิดเหตุบางอย่างขึ้นกับตนเองและครอบครัว

“วันช้างไทย 13 มีนาคม” ทุกปีจะมีพิธีบวงสรวงวิญญาณช้างครั้งใหญ่ 130 กว่าเชือก ตั้งโต๊ะวางเครื่องบูชา...เครื่องบายศรี หัวหมู หัวไก่ กล้วยสุก...ดิบกับลำต้น อ้อย ฯลฯ เพื่ออัญเชิญดวงวิญญาณช้างทุกเชือกมารับสิ่งต่างๆเหล่านี้ โดยมีหมอช้างใหญ่ ซึ่งชาวส่วยเรียกว่า “หมอสะดำ” มาทำหน้าที่เป็นผู้นำในพิธี

นอกจากนี้ ยังมีบรรดาหมอช้างที่ลดหลั่นอันดับกันตามวัฒนธรรมส่วย และสืบทอดมาถึงวันนี้ร่วมพิธี ประกอบด้วย “หมอสะเดียง” คือควาญผู้มีความชำนาญคล้องช้างป่าได้จำนวนมากในอดีต ปัจจุบันเมื่อป่าถูกปิดก็จะเลือกจากควาญอาวุโส ที่ได้รับการ “ประชิ” หรือเลื่อนชั้นในภาษาส่วยขึ้นมาเป็นหมอสะเดียงแทน โดยหน้าที่หลักคือเป็นผู้จัดหาเสบียงในการออกป่าล่าช้าง

แล้วก็มี “หมอจา” หัวหน้ากลุ่มผู้ทำหน้าที่ออกคล้องช้างป่า ซึ่งสามารถรายงานทิศทางช้างป่าแก่หมอใหญ่ หรือ “หมอสะดำ” ได้ เพื่อหมอใหญ่จะส่งสัญญาณให้ตีวงโอบล้อมช้างป่าได้ทันท่วงที

...

หมอช้างเหล่านี้ถึงจะหมดตำนานการคล้องช้างป่ามานานแล้ว ทว่า...ทุกวันนี้ก็ยังถือเป็นบุคคลสำคัญ ในการประกอบพิธีกรรมบูชาวิญญาณช้างที่สถิตอยู่ต่างภพแล้วกับมนุษย์

ทุกครั้ง...มักเกิดปาฏิหาริย์ ปรากฏเป็นพระอาทิตย์ทรงกลดให้เห็นขณะการดำเนินพิธีกรรม

“ศรัทธา” นำมาซึ่ง “ปาฏิหาริย์”...ในโลกอันต่างมิติ ระหว่างคนที่ยังมีลมหายใจกับช้างที่วายปราณ เชื่อไม่เชื่ออย่างไรโปรดอย่าได้ “ลบหลู่”.

รัก–ยม