ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุก “ลุงวิศวะ” 10 ปี ปรับคดีอาวุธปืน 2,000 บาท จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ 340,000 บาท เนื่องจากพฤติกรรมของจำเลยสมัครใจวิวาทกับฝ่ายผู้ตาย หากจำเลยมีสติรู้จักยับยั้งชั่งใจอารมณ์ร้อนเพื่อให้โทสะคลายลงเหตุทะเลาะวิวาทในคดีคงไม่เกิดขึ้น สาเหตุที่จำเลยมีพฤติการณ์เช่นนี้ เนื่องจากมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วยแสดงให้เห็นถึงนิสัยและพฤติกรรมของจำเลยว่าพร้อมที่จะสมัครใจวิวาท

จากคดีนายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ หรือลุงวิศวะ อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 152/268 ถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร วิศวกรบริษัท ไมคอล อินจิเนียริ่ง จำกัด ถูกกลุ่มวัยรุ่นกรูเข้าล้อมรถเก๋งและพยายามจะเข้าทำร้าย เลยตัดสินใจใช้ปืนยิงสวน กระสุนถูกนายนวพล หรือปอน ผึ่งผาย อายุ 17 ปี เสียชีวิต สาเหตุมาจากเรื่องขับรถกีดขวางกัน เหตุเกิดบริเวณแยกครกใหญ่ ถนนอ่างศิลา ต.อ่างศิลา อ.เมืองชลบุรี เมื่อเย็นวันที่ 4 ก.พ.60 คดีนี้อัยการสั่งฟ้องนายสุเทพ ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา กระทั่งวันที่ 27 ก.ย.61 ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 15 ปี แต่ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 10 ปี ปรับคดีอาวุธปืน 2,000 บาท จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ 340,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

ต่อมาช่วงสายวันที่ 10 ต.ค. ที่ศาลจังหวัดชลบุรี ผู้พิพากษาได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3544 / 2561 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดชลบุรี โจทก์ น.ส.มณีพร ผึ่งผาย มารดา นายนวพล หรือปอน ผึ่งผาย ผู้เสียชีวิตเป็นโจทก์ร่วมและนายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ จำเลย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิเคราะห์แล้วเห็นว่าเมื่อพวกของผู้ตายขับรถตู้มาจอดที่หน้าร้านขายของฝากกีดขวางทางออกของจำเลยแล้วมีการโต้เถียงกันนั้นยังไม่ปรากฏว่ามีถ้อยคำพูดที่ไม่สุภาพจากฝ่ายใด แต่หลังจากที่จำเลยกะพริบไฟใส่รถตู้และบีบแตรรถหลายครั้ง จำเลยเริ่มใช้ถ้อยคำพูดไม่สุภาพในลักษณะยั่วโทสะพวกของผู้ตาย โดยขณะนั้นจำเลยมีอาวุธปืนของกลางอยู่ใกล้ตัวแสดงว่าจำเลยและภริยามีโทสะและพอที่จะมีเหตุวิวาทกับพวกของผู้ตายที่จำเลยอุทธรณ์อ้างว่าเหตุการณ์ในขณะนั้นมีปากเสียงกันเพียงเล็กน้อยและจบลงแล้วจึงฟังไม่ขึ้น

...

เมื่อพวกของผู้ตายขับรถตู้และรถเก๋งออกไปแล้ว หากจำเลยมีสติรู้จักยับยั้งชั่งใจอารมณ์ร้อนโดยจอดรถสักพักหนึ่งก่อนเพื่อให้โทสะคลายลงแล้วค่อยขับรถออกไป เหตุทะเลาะวิวาทในคดีนี้คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนแต่จำเลยกลับขับรถตามไปในทันทีขับแซงรถตู้และบีบแตรยาวใส่ แสดงให้เห็นว่าจงใจเจตนายั่วโทสะพวกของผู้ตาย มิได้บีบแตรเตือนดังที่จำเลยอ้างในอุทธรณ์ และจำเลยขับไปอยู่ด้านหน้า เมื่อพวกของผู้ตายซึ่งขับตามรถจำเลยไปมาบีบแตรยาวและเปิดไฟสูงใส่รถจำเลย อันเป็นการส่งสัญญาณความไม่พอใจและท้าทาย จำเลยชะลอความเร็วลงจนเกือบจะหยุดรถเพื่อให้พวกผู้ตายขับชนท้ายและบีบแตรในลักษณะส่งสัญญาณโต้ตอบกลับไป อันเป็นการรับคำท้าทายของฝ่ายผู้ตายกับพวก ทั้งมีเจตนายั่วโทสะฝ่ายผู้ตายให้เพิ่มมากขึ้นและไม่กรงกลัวว่าจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน

สาเหตุที่จำเลยมีพฤติการณ์เช่นนี้ เนื่องจากจำเลยมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วยแสดงให้เห็นถึงนิสัยและพฤติกรรมของจำเลยว่าพร้อมที่จะสมัครใจวิวาท เมื่อพวกของผู้ตายขับรถมาถึงที่เกิดเหตุ จำเลยหักหัวรถอย่างกะทันหันในลักษณะปาดหน้าและขัดขวางมิให้รถของพวกผู้ตายขับต่อไปได้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาวิวาทกับผู้ตายและพวกมาตลอดเส้นทาง จนกระทั่งถึงที่เกิดเหตุจำเลยยังมีเจตนาวิวาทอยู่ เมื่อจำเลยเห็นว่าผู้ตายกับพวกมากันหลายคนเริ่มเกิดความกลัว แต่ยังคงพูดกับผู้ตายและพวกด้วยน้ำเสียงดุดันในลักษณะไว้ทำทีว่าจะเอาเรื่อง มิใช่คำพูดในทำนองขอโทษการกระทำของตนหรือแสดงให้เห็นว่าไม่อยากมีเรื่องหรือให้เลิกแล้วกันไป

แม้ฝ่ายผู้ตายกับพวกทำร้ายร่างกายจำเลยก่อนจำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย แต่เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อเนื่องเชื่อมโยงกันมาไม่ขาดตอน นับระยะเวลาตั้งแต่ต้นจนจบเพียง 5 นาทีเศษ ตามพฤติการณ์เป็นกรณีจำเลยเป็นผู้เริ่มต้นก่อให้เกิดเหตุทะเลาะวิวาทและเมื่อจำเลยยั่วโทสะท้าทายจนฝ่ายผู้ตายโต้ตอบและสมัครใจร่วมวิวาทกับจำเลยแล้ว จำเลยไม่อาจกล่าวอ้างว่าฝ่ายผู้ตายเป็นผู้ก่อเหตุและเมื่อเหตุการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น จำเลยจำต้องชักปืนออกมายิงเพื่อป้องกันชีวิตของจำเลยและคนในครอบครัวอันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

หลังฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว นายสุเทพให้ทนายความยื่นเงินสดจำนวน 870,000 บาท ยื่นขอประกันตัวในชั้นฎีกาและศาลอนุญาตให้ประกันตัว นายสุเทพกล่าวเพียงสั้นๆว่า ยอมรับในคำตัดสินของศาลแต่ต้องการต่อสู้คดีเพื่อให้ความจริงปรากฏ รวมทั้งตนยังมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพเป็นโรคเบาหวานและอีกหลายโรคเลยต้องยื่นประกันตัวออกไปสู้คดี ขณะที่ น.ส.มณีพร ผึ่งผาย มารดาของผู้ตายกล่าวว่า พอใจต่อคำตัดสินของศาลทำให้เห็นถึงความยุติธรรมมีจริง ตนรู้สึกว่าเหนื่อยมากกับการต้องเดินทางมาศาลในระยะ 2 ปีหลังเกิดเรื่องกับทางจำเลยยังไม่มีการพูดคุยกัน รวมทั้งไม่มีการจ่ายเงินสินไหมทดแทน คงต้องสู้กันต่อไปเพราะจำเลยขอประกันตัวสู้คดีในชั้นฎีกา