“รุ่งโรจน์ แสงคร้าม” นำทีมตำรวจชุดใหญ่ สนธิกำลัง จนท.อุทยาน และกรมป่าไม้ ลุยตรวจ ค้นหลุบพญารีสอร์ตของคอลัมนิสต์ชื่อดัง หลังได้รับการร้องเรียนว่า บุกรุกที่ป่าสงวน และมีสัตว์ป่าสงวนไว้ในครอบครอง หลังตรวจค้นพบเพียงจระเข้ 2 ตัว แต่กรงหมีถูกเคลื่อนย้ายออกไปแล้ว เก็บหลักฐานดีเอ็นเอและลายนิ้วมืออย่างละเอียด พบทำผิดกฎหมาย 3 ฐานความผิด ส่งเจ้าหน้าที่เข้าแจ้งความตำรวจ สภ.ลาดหญ้าดำเนินคดี “บิ๊กโจ๊ก” ขู่ ความผิด พ.ร.บ.ป่าไม้ เข้าความผิดมูลฐานฟอกเงิน เตรียมตรวจสอบเส้นทางการเงินทั้งหมดแล้ว

ตำรวจลุยค้น “หลุบพญา” เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 4 ม.ค. พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม. พล.ต.ต.ปรีดี พงศ์เศรษฐสันต์ รอง ผบช.สพฐ.ตร. พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง ผบก.ตม.3 และ พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม ผบก.สส.สตม.สนธิกำลังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ กรมเจ้าท่า เจ้าหน้าที่ ศปอส.ตร. ตำรวจ บก.ปทส. หน่วยเฉพาะกิจพญาเสือ นิติวิทยาศาสตร์กรมอุทยานฯ และตำรวจ สภ.ลาดหญ้า ลงพื้นที่ตรวจสอบหลุบพญารีสอร์ต เลขที่ 82/3 หมู่ 1 ต.วังด้ง อ.เมืองกาญจนบุรี หลังได้รับการร้องเรียนว่าสร้างบ้านพัก รีสอร์ตกลางเกาะแม่น้ำแควใหญ่บุกรุกพื้นที่ป่า

ที่เกิดเหตุเป็นรีสอร์ตขนาดใหญ่เนื้อที่กว่า 33 ไร่ จดทะเบียนในนามหลุบพญารีสอร์ต จำกัด มีนายเผด็จ ภูรีปติภาน คอลัมนิสต์ชื่อดัง เป็นเจ้าของกิจการ ทันทีที่เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบพบว่า ด้านหน้ารีสอร์ตมีป้ายหยุดกิจการมาติดไว้ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ติดต่อผู้ดูแล ก่อนแสดงหมายค้นเพื่อขอเข้าตรวจสอบ ก่อนกระจายกำลังตรวจค้นโดยรอบ ทั้งนี้จุดที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบคือ บริเวณสิ่งปลูกสร้าง 3 รายการ ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำแควใหญ่ชื่อว่า “เกาะพญาไม้” ระยะห่างจากฝั่งติดกับพื้นที่หลุบพญารีสอร์ตประมาณ 30 เมตร

...

นอกจากนี้ ตรวจสอบบ่อจระเข้ห่างจากตัวบ้านไป 300 เมตรพบจระเข้จำนวน 2 ตัว ถัดไปประมาณ 100 เมตรพบพื้นที่ว่างเปล่า แต่เดิมเป็นจุดที่เจ้าหน้าที่ได้รับการร้องเรียนว่าเป็นกรงหมี แต่ปัจจุบันเชื่อว่าเคลื่อนย้ายทั้งกรงและสัตว์ออกไปแล้ว เจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์กรมอุทยานฯและสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจเก็บดีเอ็นเอและรอยนิ้วมือแฝง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อร้องเรียนว่าเคยมีสัตว์ป่าหรือไม่ จากนั้นสำรวจหมุดที่ตอกด้านหน้ารีสอร์ต เพื่อให้กรมป่าไม้เทียบเคียงกับแผนที่ของกรมป่าไม้ ก่อนตรวจสอบบริเวณจุดสร้างเขื่อนริมตลิ่งเพื่อกันน้ำเซาะและชานพักคอนกรีตเสริมเหล็กอีก 2 แห่ง รวมทั้งพื้นที่ริมตลิ่งที่ก่อสร้างพนังกั้นน้ำซีเมนต์แบบถาวรด้วย

พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม เผยว่า วันนี้ดำเนินการเข้าตรวจสอบพร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดกว่า 10 หน่วยงาน เพื่อคลี่คลายข้อเท็จจริงตามข้อร้องเรียน หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาวางแนวทางทำงานให้แต่ละหน่วยงานตรวจสอบรายละเอียดแล้ว เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และในวันนี้แต่ละหน่วยงานจะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.ลาดหญ้า ในแต่ละความผิดที่พบ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

“จากการตรวจสอบพบว่า มีพยานหลักฐานบางอย่างหายไปจากภาพถ่ายและคลิปวิดีโอที่ร้องเรียน อาทิ กรงสัตว์ป่า สายไฟที่เชื่อมไปยังพื้นที่เกาะพญาไม้ ในส่วนนี้ลงในบันทึกการตรวจสอบเรียบร้อย และไม่มีผลต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งสถานที่ดังกล่าวติดป้ายประกาศปิดกิจการในส่วนนี้ สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้เช่นเดียวกับกรณีสัตว์ป่า กรมอุทยานเก็บพิสูจน์ดีเอ็นเอรอยนิ้วมือแฝงในจุดที่เคยเป็นที่ตั้งกรงสัตว์ป่า อย่างไรก็ตาม จากการดำเนินการตรวจสอบมาถึงขณะนี้พบว่า เข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ 2484 มาตรา 54 พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย 2456 มาตรา 117 พระราชบัญญัติโรงแรม 2557 มาตรา 15” รอง ผบ.ตร.กล่าว

พล.ต.อ.รุ่งโรจน์กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้จะออกหมายเรียกเจ้าของรีสอร์ต รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน รวมทั้งแจ้งข้อกล่าวหาตามคำร้องทุกข์ ทั้งนี้ ยืนยันว่าการ ตรวจสอบไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะรีสอร์ตแห่งนี้ แต่ทุกรีสอร์ตที่รุกล้ำเขตป่าต้องรับผิด จะดำเนินการมาตรการ นี้อย่างเข้มข้น อีกทั้งไม่ว่าจะอยู่ระหว่างการปิดปรับปรุงหรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบางส่วนเพื่อหนีการตรวจสอบ ก็สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้

...

ส่วน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์กล่าวว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการบังคับใช้กฎหมายของแต่ละหน่วยงาน ราชการที่เกี่ยวข้อง ขณะนี้ตรวจสอบพบความผิดหลายส่วน อย่างไรก็ตาม เจ้าของพื้นที่ให้ความร่วมมือตรวจค้นเป็นอย่างดี ปฏิบัติตามข้อแนะนำของพนักงานสอบสวน ถึงแม้สถานที่ดังกล่าวจะปิดกิจการไป เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ จะตรวจสอบรอบด้าน ไม่ว่าเส้นทางความเคลื่อนไหวของบัญชี รวมทั้งกระแสไฟที่ใช้ว่าเชื่อมต่อจากหลุบพญารีสอร์ตไปยังเกาะพญาไม้หรือไม่ หากสรุปสุดท้ายพบว่า ฝ่าฝืนหรือบุกรุกเข้าไปในที่ป่าไม้แสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ในส่วนนี้เข้ามูลฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ฟอกเงิน ต้องยึดอายัดทรัพย์