ทางธรรม...ลักษณะผู้มีสติและสัมปชัญญะ คือเป็นผู้เห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้...เป็นผู้เห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ....เป็นผู้เห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ....เป็นผู้เห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ ภิกษุทั้งหลาย...ภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะ เป็นอย่างไรเล่า?ภิกษุในกรณีนี้เป็นผู้รู้ตัวรอบคอบในการก้าวไปข้างหน้า การถอยกลับไปข้างหน้า การดูแล การเหลียวดู การคู้ การเหยียด การทรงสังฆาฏิ บาตร จีวร การฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ การไป การหยุด การนั่ง การนอน การหลับ การตื่น การพูด การนิ่งภิกษุทั้งหลาย... อย่างนี้แล เรียกว่า “ภิกษุ” ผู้มีสัมปชัญญะ “วัดหินแท่นลำภาชี” แห่งบ้านหินแท่น ตำบลหนองไผ่ อำเภอด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี อีกศูนย์รวมศรัทธา ด้วยมีพระอุโบสถที่สวย มีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) องค์ใหญ่ ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าให้ผู้คนได้กราบไหว้สักการะ ความโดดเด่นสวยงามของโบสถ์สำเภาแก้ว ประเมินด้วยมูลค่าว่ากันว่าก็ตีราคานับกันเป็นร้อยล้านหากแต่มูลค่าทางใจนั้น...ก็คงจะสุดแล้วแต่ว่าใคร? จะมีมากมีน้อยตามแรงศรัทธาความเชื่อที่ตนมี“โบสถ์สำเภาแก้ว” ถูกสร้างขนาบข้างด้วยเรืออนันตนาคราชลักษมี “สีขาว” ของโบสถ์หมายถึงกระจกขาว สื่อถึงพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ เปล่งประกายไปทั่วโลกมนุษย์และจักรวาล ส่วน “เรืออนันตนาคราชลักษมี” นั้นหมายถึงการนำพามนุษย์ข้ามวัฏสงสารมุ่งสู่พุทธภูมิตัวโบสถ์ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ พระประธาน “สมเด็จพุทธรัตนมุนีศรีโสธร” ล้อมรอบด้วยอสีติมหาสาวก...พระสาวกผู้ยิ่งใหญ่ 80 รูป หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อวัดบ้านแหลม หลวงพ่อวัดไร่ขิง แล้วยังมี “หลวงพ่อทันใจ” ส่วนด้านหลังก็มีท้าวเวสสุวรรณหรือท้าวกุเวร เจ้าแห่งยักษ์...อสูรและผี อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ที่คอยคุ้มครองดูแลโลกมนุษย์ตามประวัติบันทึกไว้ “วัดหินแท่นลำภาชี” แห่งนี้ สันนิษฐานกันว่าสร้างขึ้นในปีพุทธศักราช 2481 แนวคิดการสร้างโบสถ์แก้วประดิษฐานอยู่บนเรือหงส์นั้น เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน “หลวงพ่อสมคิด” เล่าว่า มาจากผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอินทรวิหาร บางขุน-พรหม ได้นิมิตเห็นสถานที่ก่อสร้างจึงนำคณะศรัทธาหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) มาช่วยสร้าง ใช้ปัจจัยไปกว่า 100 ล้านบาทความวิจิตรงดงามเรียกแรงศรัทธาได้อย่างที่เห็นในวันนี้ จึงอาจจะเรียกได้ว่า...มาจากแรงศรัทธา สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) ทั้งสิ้น “พระคาถาชินบัญชร” ตั้งนะโม 3 จบ ชะยาสะนาคะตา พุทธา เชตะวา มารัง สะวาหะนัง จะตุสัจจา สะภังระสัง เย ปิวิงสุ นะราสะภา ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเก เต มุนิสสะรา สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโร หะทะเย เม อะนุรุทโธ สารีปุตโต จะ ทักขิเณ โกณทัญโญ ปิฏฐิภาคัสมิง โมคคัลลาโน จะ วามะเกทักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะราหุลา กัสสะโป จะ มะหานาโม อุภาสุง วามะ โสตะเก เกสันเต ปิฏฐิภาคัสมิง สุริโย วะ ปะภังกะโร นิสินโน สิริสัมปันโน โสภีโต มุนิ ปุงคะโว กุมาระกัสสะโป เถโร มะเหสี จิตตะวาทะโก โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง ปะติฏฐาสิ คุณากะโร ปุณโณ อังคุลิมาโล จะ อุปาลี นันทะสีวะลี เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา นะลาเต ติละกา มะมะ เสลาสีติ มะหาเถรา วิชิตา ชินะสาวะกา เอตาสีติ มะหาเถรา ชิตะวันโต ชิโนระสา ชะลันตา สีละเตเชนะ อังคะมังเคสุ สัณฐิตา ระตะนัง ปุระโต อาสิ ทักขิเณ เมตตะสุตตะกัง ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ วาเม อังคุลิมาละกัง ขันธะโมระปะริตตัญจะ อาฏานาฏิยะสุตตะกัง อากาเส ฉะทะนัง อาสิ เสสา ปาการะสัณฐิตา ชินาณา วะระสังยุตตา สัตตะปาการะลังกะตา วาตะปิตตา ทิสัญชาตา พาหิรัช ฌัตตุปัททะวา อะเสสา วินะยัง ยันตุ อะนันตะ ชินะเตชะสา วะสะโต สะกิจเจนะ สะทา สัมพุทธะปัญชะเร ชินะปัญชะระ มัชณันหิ วิหะรันตัง มะฮีตะเล สะทาปาเลนตุ มัง สัพเพ เต มะหาปุริสาสะภาอิจเจวะมันโต สุคุตโต สุรักโข ชินานุภาเวนะ ชิตูปัททะโว ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโฆ สังฆานุภาเวนะ ชิตันตะราโย สัมธัมมานุภาวะ ปาลิโต จะรามิ ชินะปัญชะเรติฯ“ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้...“ลบหลู่”.รัก–ยม