ชายชาวอิหร่าน วัย 40 ปี ก่อเหตุใช้น้ำมันราด ไฟแช็ก จุดเผาตัวเอง หน้าสถานทูตอิหร่านประจำประเทศไทย พร้อมชูป้ายข้อความต่อต้านการเมืองที่ประเทศอิหร่านเป็นภาษาอังกฤษ และพยายามวิ่งเข้าไปสถานทูตแต่เข้าไม่ได้ ก่อนที่ตำรวจสันติบาล ทำหน้าที่ รปภ.หน้าสถานทูตคว้าถังดับเพลิงฉีดจนดับ พบหนังกำพร้าลอกทั่วร่าง เร่งส่งโรงพยาบาลรักษาเป็นการด่วน
ระทึกชายชาวอิหร่าน จุดไฟเผาตัวประท้วงหน้า สถานทูตอิหร่าน ประจำประเทศไทย เกิดขึ้นเมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 19 พ.ค. ร.ต.ท.ต่อเงิน วัฒนะกูล รอง สว. (สอบสวน) สน.ทองหล่อ รับแจ้งเหตุมีชายชาวต่างชาติ ใช้น้ำมันจุดไฟเผาตัวเองหน้าร้าน “ซามูไร คาราเต้ สตูดิโอ (Samurai karate studio)” อาคาร Racquet@49 ตรงข้ามสถานทูต อิหร่านภายในซอยสุขุมวิท 49 แยก 11 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบก่อนรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อม พ.ต.อ.ขจรพงศ์ จิตต์ภาคภูมิ ผกก.สน.ทองหล่อ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ทองหล่อและเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน
ที่เกิดเหตุหน้าอาคารดังกล่าวอยู่ตรงข้ามกับสถานทูตอิหร่าน ประจำประเทศไทย พบนายอารี บาเยฟ อายุ 40 ปี สัญชาติอิหร่าน ถูกเปลวไฟคลอกทั่วทั้งร่างกาย จากนั้นทางเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำสถานทูตฯ และพลเมืองดีที่อยู่ในละแวกดังกล่าว นำถังดับเพลิงมาระดมฉีดจนไฟดับ เบื้องต้นพบว่านายอารี บาเยฟ มีบาดแผลไฟไหม้ ผิวหนังกำพร้าเปื่อยรุ่งริ่งทั่วทั้งร่างกาย จึงรีบนำตัวส่ง รพ.คามิลเลียน อย่างเร่งด่วน เพื่อทำการรักษา
จากการสอบสวน ด.ต.เอนก เพิ่มสมบูรณ์ ผบ.หมู่ กก.5 บก.ส.3 เปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุขณะที่ตนปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยอยู่ภายในป้อม รปภ.หน้าสถานทูตอิหร่าน ประจำประเทศไทย ระหว่างนั้นเห็นนายอารี บาเยฟ เดินมายังอาคารฝั่งตรงข้าม โดยสวมเสื้อเชิ้ต และมีเสื้อคลุมคาดเอวสีม่วงและมีป้ายขนาดเอ 3 เขียนข้อความเกี่ยวกับข้อคิดเห็นต่อต้านการเมืองที่ประเทศอิหร่านเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมตะโกนเป็นภาษาอิหร่าน ก่อน หยิบขวดใส่น้ำมัน เทราดบนตัวเองและใช้ไฟแช็กจุดจนไฟลุกเผาท่วมตัวเอง และพยายามจะวิ่งเข้ามาในสถานทูตฯ แต่เข้าไม่ได้จึงวิ่งกลับไปยังจุดเกิดเหตุ ตนจึงรีบคว้าถังดับเพลิงที่อยู่ในป้อม รปภ.เข้าไปฉีดทั่วร่างจนไฟดับ
...
ร.ต.ท.ต่อเงินเปิดเผยว่า เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า นายอารี บาเยฟ ก่อเหตุเผาตัวเอง เพื่อประท้วงการเลือกตั้งในประเทศอิหร่าน อย่างไร ก็ตาม ต้องรอให้ผู้ก่อเหตุอาการดีขึ้นก่อน จากนั้นค่อยสอบปากคำเพื่อหาสาเหตุของการก่อเหตุตามขั้นตอนกฎหมาย