ป้าไรเดอร์พาหลานสาววัย 13 ปี ร้องขอความช่วยเหลือเพจดัง หลังหลานสาวโชคร้ายนั่งซ้อนท้ายช่วยดูโลเกชันลูกค้าขณะไปส่งอาหาร ถูกสายเคเบิลที่ห้อยลงมากลางถนนเกี่ยวเข้าที่ตาซ้ายเลือดอาบบาดเจ็บ แพทย์ต้องผ่าตัดรักษาชี้โอกาสบอด 70% ทุกข์ซ้ำไปแจ้งความตำรวจเจอโบ้ยอีก ให้ไปหาวงจรปิดขณะเกิดเหตุมาให้ จนไปได้ภาพเจ้าหน้าที่ บ.เคเบิลแห่งหนึ่งมาเก็บสายออก ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะโทร.มาแจ้ง หากเป็นสายเคเบิลบริษัทจริงจะช่วยเหลือ แต่ก็ไม่คืบหน้าตำรวจก็แค่ลงประจำวันไว้เท่านั้น

เด็กหญิงวัย 13 โชคร้ายถูกสายเคเบิลห้อยเกี่ยวขวางถนนตาหวิดบอดแต่ไร้คนรับผิดชอบ เปิดเผยเมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 3 ก.ย. ที่ศูนย์ประสานงานเพจสายไหมต้องรอด ซอยสายไหม 38 เขตสายไหม กทม. น.ส.น้ำทิพย์ บุญเลิศ อายุ 33 ปี อาชีพไรเดอร์ส่งอาหารของช้อปปี้ พา ด.ญ.วรรณิษา บุญเลิศ อายุ 13 ปี หรือน้องแป้ง นักเรียนชั้น ม.2 ร.ร.วัดพุทธบูชา หลานสาวในสภาพตาซ้ายถูกผ้าก๊อซครอบปิดตาเข้าขอความช่วยเหลือกับนายเอกภพ เหลืองวิลัย ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ว่าหลานสาวถูกสายเคเบิลที่ห้อยระโยงระยางบนถนนเกี่ยวตาหวิดบอด ขณะนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ เหตุเกิดใกล้ปากซอยประชาอุทิศ46/1 ถนนประชาอุทิศ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กทม. เมื่อสายวันที่ 20 ส.ค. หลังเกิดเหตุแจ้งความไว้ที่ สน.ราษฎร์บูรณะ คดีไม่มีความคืบหน้า

น.ส.น้ำทิพย์ บุญเลิศ ป้าน้องแป้ง กล่าวว่า ตนเพิ่งมาทำอาชีพไรเดอร์ได้ 3 วัน โดยจะพาหลานสาวซ้อนท้ายออกไปช่วยดูโลเกชันจุดหมายส่งอาหารและรับรายการส่งอาหารโทรศัพท์ วันเกิดเหตุขณะขี่รถจักรยานยนต์ไปส่งอาหารให้ลูกค้า มีหลานสาวนั่งซ้อนท้ายไปด้วยเหมือนทุกครั้งโดยใส่หมวกกันน็อกแต่เปิดหน้ากาก เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุมีสายเคเบิลขาดห้อยลงมาเกี่ยวเข้าที่ตาซ้ายของหลานสาวจนเลือดสาดบาดเจ็บ รีบพาหลานไปรักษาที่ รพ.เจริญกรุง ประชารักษ์ แพทย์ต้องผ่าตัดระบุว่ากระจกตา และเลนส์แก้วตาซ้ายแตก มีโอกาสตาบอดถึง 70% ต้องนอนรักษาอยู่โรงพยาบาลเกือบ 1 อาทิตย์ หลังจากนี้ต้องใช้เวลา 1 ปี ให้ตาหายดีจึงจะไปใส่เลนส์ตาเทียม

...

น.ส.น้ำทิพย์กล่าวอีกว่า หลังเกิดเหตุไปแจ้งความร้องทุกข์ที่ สน.ราษฎร์บูรณะ แต่พนักงานสอบสวนลงบันทึกประจำวันไว้บอกว่าไม่รู้จะตามคดีให้ยังไงไม่รู้ใครเป็นเจ้าของสายเคเบิล ให้ผู้เสียหายไปหาภาพวงจรปิดขณะเกิดเหตุมาให้ ตนต้องไปตระเวนหากล้องวงจรปิดจนได้ภาพขณะเกิดเหตุและภาพที่เจ้าหน้าที่บริษัทสายเคเบิลแห่งหนึ่งมาเก็บสายที่ห้อยพะรุงพะรังลงมา ในวันรุ่งขึ้นหลังเกิดเหตุ

ต่อมามีเจ้าหน้าที่ของบริษัทเคเบิลแห่งหนึ่งโทรศัพท์สอบถามกับเรื่องที่เกิดขึ้นบอกว่าหากสายดังกล่าวเป็นของบริษัทยินดีที่จะช่วยเหลือเรื่องการรักษาและชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนแต่อย่างใด เนื่องจากคดียังไม่คืบหน้าตำรวจยังไม่รับแจ้งความ แค่ลงบันทึกประจำวัน เกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงมาร้องขอให้เพจสายไหมต้องรอดช่วยเหลือ

ด้านนายเอกภพ เหลืองวิลัย ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด กล่าวว่า กรณีนี้ตำรวจควรจะรับแจ้งความเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายตามขั้นตอนกฎหมาย ไม่ใช่ปล่อยให้ผู้เสียหายไปหาพยานหลักฐาน หรือต้องมาร้องกับหน่วยงานเพื่อสังคมและสื่อมวลชนเพื่อให้เป็นข่าว ตนจะให้ทีมงานพาผู้เสียหายไปแจ้งความที่ สน.ราษฎร์บูรณะต่อไป อยากฝากถึงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้ประสานเจ้าหน้าที่จัดระเบียบสายเคเบิลในพื้นที่ต่างๆให้เรียบร้อย เพราะยังมีสายเคเบิลห้อยพะรุงพะรังเสี่ยงอันตรายต่อประชาชนอีกหลายจุด ที่ผ่านมาเคยรับร้องเรียนจากประชาชนกรณีได้รับผลกระทบจากสายไฟและสายเคเบิลห้อยจนทำให้เกิดอันตรายไม่ต่ำกว่า 10 กรณีแล้ว เจ้าของสายเคเบิลที่สร้างปัญหาก็เป็นของบริษัทสื่อสารเกือบทุกบริษัท ทำให้เห็นว่ายังไม่มีการเอาใจใส่ดูแลความเรียบร้อยอย่างจริงจัง