“หลวงตาเต่า” รรท.ผบก.ทล. เรียกประชุมด่วนตำรวจทางหลวงระดับรอง ผบก.-ผกก. พร้อมยอมรับเรื่องส่วยสติกเกอร์อยู่ใต้พรมมานานถึงจุดนี้ต้องยอมรับความจริง ตำรวจทางหลวงถึงยุคการเปลี่ยนแปลง การปรับตัวคือบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมเป็นธรรมแม้จะกระทบถึงผู้ประกอบการก็ตาม สั่งยุบชุดเฉพาะกิจฉาวทั้งระบบ “วิโรจน์” แฉต่อ ต้นตอส่วยทางหลวงมีมานานเเล้ว ใต้โต๊ะมูลค่า 2 หมื่นล้านต่อปี ชง 2 ทางแก้ ใช้ ปปง.ยึดทรัพย์และทบทวน ก.ม. ด้านรองปลัด คค.เผยหลังประชุม “ส่วยสติกเกอร์” นัดแรก ยันระบบตรวจสอบน้ำหนักเกินใช้อิเล็กทรอนิกส์ตรวจสอบ ดังนั้นจะมีสติกเกอร์หรือไม่ ไม่สามารถยกเว้นได้ ขณะที่กาฬสินธุ์ปูดข่าวส่วยสติกเกอร์ลอตเตอรี่ พ่อค้าแม่ค้าหวยรัฐนับร้อยต้องจ่ายคนละ 200 บาทต่อเดือน แลกกับการไม่ถูกจับขายเกินราคา
กรณีนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ออกมาเปิดโปงข้อมูลส่วยสติกเกอร์รถบรรทุก สะเทือนไปถึงกองบังคับการตำรวจทางหลวง โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. สั่งการให้จเรตำรวจแห่งชาติตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร็ว ขณะเดียวกัน พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก.แต่งตั้งคณะทำงานร่วมตรวจสอบ พร้อมสั่งย้ายพล.ต.ต.เอกราช ลิ้มสังกาศ ผบก.ทล.เข้าประจำ ศปก.บช.ก. และแต่งตั้ง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. ที่มีฉายาว่า “หลวงตาเต่า” เพราะครองตนไม่รับสินบาทสินบน จับกุมข้าราชการคอร์รัปชัน มารักษาราชการในตำแหน่ง ผบก.ทล.เพื่อตรวจสอบประเด็นส่วยสติกเกอร์ตามที่เสนอข่าวไป
ความคืบหน้าเรื่องส่วยสติกเกอร์ เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 31 พ.ค. ที่กองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล) ถนนศรีอยุธยา พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. รักษาราชการแทน ผบก.ทล. เรียกตำรวจทางหลวงระดับรอง ผบก.-ผกก.เข้าร่วมประชุมหารือถึงแนวทางตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นส่วยรถบรรทุก พร้อมเปิดเผยก่อนเข้าประชุมว่า วันนี้เรียกตำรวจทางหลวงระดับ ผกก.มาประชุมหารือเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการต่อไป และกำหนดแก้ไขปัญหาเรื่องเร่งด่วน หลังประชุมจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับคำสั่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำหรับเรื่องการพิจารณาเอาผิดเป็นนโยบาย ผบ.ตร. เน้นย้ำในการกวาดบ้านตัวเอง และในฐานะตำรวจทางหลวง ไม่อยากตอบว่าไม่มีเรื่องส่วยเกิดขึ้น เพราะอยู่ในพรมมานาน
...
พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าวต่อว่า ขอบคุณนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่นำเรื่องนี้มาเปิดเผย และต้องขอขอบคุณสมาพันธ์รถบรรทุกแห่งประเทศไทยที่เข้ามาให้ข้อมูล ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้มาตรวจสอบ ยืนยันจะนำพาหน่วยนี้ให้ไปในทางที่ถูกต้อง หากตำรวจรายใดเข้ามาเกี่ยวข้องจะต้องถูกดำเนินการเช่นเดียวกัน อีกทั้งในการแก้ปัญหาเรื่องนี้จะแก้ไขทั้งระบบไม่แก้เฉพาะจุด อะไรที่ถูกหมักหมมมานานหรือมีความเหลื่อมล้ำจะแก้ไขปรับปรุงไปด้วย
พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าวอีกว่า ไม่หนักใจที่ต้องเข้ามาแก้ไขเรื่องนี้ เพราะสิ่งที่นายวิโรจน์พูดถูกต้องทุกอย่างแค่ต้องทำให้ถูกต้องตามแนวทาง ตำรวจทางหลวงจะต้องเป็นหน่วยงานที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรีมากกว่านี้ เพื่อรองรับนโยบายรัฐบาลได้ ส่วนกรณีมีตำรวจเกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหนนั้น ขณะนี้ ตร.สั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยไม่ให้ความช่วยเหลือใคร ใครทำอะไรไว้ต้องได้รับในสิ่งนั้นไม่มียกเว้น ตนทำงานมาเยอะมีพื้นฐานการทำงานในสิ่งอยุติธรรมมาเยอะ จะไม่ทำให้ ปปป.เสื่อมเสียแม้มาแก้ไขในช่วงสั้นๆแต่จะยกเลิกคำสั่ง แก้ไขปรับปรุงและบังคับใช้กฎหมายโดยเท่าเทียมกัน หน่วยเฉพาะกิจจะยกเลิกทั้งหมด อะไรที่เป็นปัญหาส่อทุจริตอาจจะยกเลิกภายในวันนี้
เมื่อถามถึงเรื่องการบังคับใช้กฎหมายหลังจากนี้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าวว่า ตำรวจทางหลวงมาถึงการเปลี่ยนแปลงแล้ว จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมเป็นธรรม แม้ทุกขั้นตอนหลังจากนี้ย่อมกระทบไปถึงธุรกิจหรือผู้ประกอบการแต่ต้องปรับตัวตามให้ทัน ส่วนประเด็นที่พูดกันหลังจากนี้รถบรรทุกอาจจะถูกจับทุกด่านตรวจ เรามาถึงจุดนี้ต้องยอมรับความเป็นจริง การปรับตัวคือบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมเป็นธรรม สั่งการให้ตำรวจทางหลวงทั่วประเทศเร่งตรวจสอบเรื่องสติกเกอร์ ถ้าส่อว่ามีการทุจริต ให้รวบรวมมาเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนสืบสวน ถึงจะเสียบุคลากรแต่ต้องยอมรับความจริง เรื่องกรอบระยะเวลาการแก้ไขปรับปรุงปัญหาไม่ช้าเพราะทำงานเร็ว ส่วนเรื่องเส้นทางการเงิน ถ้าพบข้อเท็จจริงจะประสาน ปปป.เข้ามาดูเรื่องการทุจริตจะทำควบคู่กัน
เมื่อถามถึงนโยบายบังคับใช้กฎหมายอาจจะกระทบกับภาคการขนส่ง พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าวว่า อยากให้เข้าใจว่าตำรวจทำหน้าที่อำนวยความยุติธรรม อะลุ้มอล่วยมาตลอดเพื่อให้ฟันเฟืองทุกอย่างเดินไปได้ วันหนึ่งสิ่งที่ดำเนินการไม่ถูกต้องควรต้องแก้ไขทุกคนต้องยอมรับ มาตรงนี้จะทำตามอำนาจหน้าที่ไม่อยากให้เดือดร้อนแต่ทุกคนต้องปรับตัว ต่อข้อถามว่า เข้ามาสะสางใบสั่งต่างๆและการแบ่งเปอร์เซ็นต์ด้วยหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติระบุว่า ประชาชนต้องยอมรับว่าใบสั่งที่โดนเป็นผลจากการกระทำความผิดหรือไม่ หากไม่ใช่ชี้แจงได้ แต่หลังจากนี้ต้องแก้ทั้งระบบ ไม่อยากให้หมักหมม ที่สำคัญ ฝากหน่วยงานที่สูงกว่านี้ช่วยไปแก้ไขเพื่อให้ตำรวจทำงานสะดวกมากขึ้นด้วย
ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 11.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ยอมรับว่ามีเรื่องส่วยจริง ได้ยินมานานแล้ว อาจหายไปบางช่วง แต่เมื่อช่วงนี้กลับมาเป็นข่าวอีก สั่งการให้ตรวจสอบโดยเร็ว เรื่องส่วยนั้นมีทั้งผู้รับและผู้ให้ ผู้ให้คือระบบขนส่ง ส่วนผู้รับเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องให้ ผบก.ปปป. เข้ามาตรวจสอบเรื่องดังกล่าวในทุกมิติ ส่วนการสั่งย้ายผบก.ทล. เข้ามาปฏิบัติราชการที่ บช.ก. เพื่อเปิดทางให้จเรตำรวจแห่งชาติตรวจสอบข้อเท็จจริงได้โดยอิสระ และส่งข้อมูลให้กับคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนเรื่องตำรวจหรือ ก.ร.ตร. ร่วมพิจารณาข้อเท็จจริง พร้อมสั่งขยายผลไปยังผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด หากพบว่ามีความผิดจริงจะดำเนินการโดยไม่ละเว้น ส่วนเรื่องส่วยสติกเกอร์อื่นๆเช่น ส่วยสติกเกอร์ลูกเต๋าของแรงงานต่างด้าวหรือส่วยสติกเกอร์ลอตเตอรี่ที่เผยแพร่ลงในโซเชียล สั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว บางส่วนเป็นข้อมูลเก่าต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานว่ามีตำรวจเรียกรับส่วย ยังต้องรอผลการตรวจสอบก่อน
...
ด้านนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงประเด็นปัญหาส่วยทางหลวงว่า ส่วยทางหลวงไม่ใช่ปัญหาใหม่ แต่เป็นปัญหาใหญ่มีมานานหลายสิบปี มูลค่าทุจริตคอร์รัปชันสูงในระดับหมื่นล้านบาท จุดเริ่มต้นอยู่ที่ข้าราชการกรมทางหลวงบางคน ตำรวจท้องที่ และตำรวจทางหลวงบางนาย อาศัยช่องว่างทางกฎหมายรังควานผู้ประกอบกิจการขนส่ง พฤติกรรมรังควานเป็นเหตุให้เกิดขาใหญ่เป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นเป็นโต้โผเอาส่วยแบบเหมาจ่ายไปเคลียร์ แล้วมาผลิตสติกเกอร์ขายให้ผู้ประกอบกิจการขนส่งรายอื่นๆ พอเจ้าหน้าที่เห็นเป็นอันรู้กันเถ้าแก่ส่งส่วยเรียบร้อย บรรทุกหนักแค่ไหนก็ผ่านฉลุย ระยะหลังกล้าเอาไปใช้ขนของผิดกฎหมาย ขนแรงงานต่างชาติหลบหนีเข้าเมือง ตำรวจดีได้แต่ท้อใจ ถ้าเผลอไปเรียกตรวจอาจเจอผู้บังคับบัญชาหรือมาเฟียขาใหญ่ข่มขู่
นายวิโรจน์กล่าวอีกว่า สติกเกอร์แต่ละดวงมีมูลค่าแตกต่างกัน ตั้งแต่ 3,000-5,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับระยะทาง จำนวนด่าน บางพื้นที่อาจแพงถึงหลักหมื่น จำนวนรถบรรทุกในไทยมีประมาณ 1.4 ล้านคัน ถ้ามี 300,000 คัน ต้องเสียเงินซื้อสติกเกอร์เดือนละ 3,000-5,000 บาท คิดเป็น 900-1,500 ล้านบาทต่อเดือน ในปีหนึ่งมูลค่าส่วยทางหลวงอาจสูงถึง 20,000 ล้านบาท เมื่อดูข้อมูลเรื่องทุจริตที่ร้องเรียนมา ป.ป.ช.ในแต่ละปี รวมกันมูลค่าประมาณ 200,000 ล้านบาท การแก้ปัญหาต้องทำควบคู่กัน 2 ด้าน 1.การปราบปรามวงจรการส่งส่วยให้สิ้นซาก หากหลักฐานถึงข้าราชการคนใดต้องส่ง ป.ป.ช.เอาเรื่องให้ถึงที่สุดและใช้กลไกของ ปปง.ยึดทรัพย์ 2.การทบทวนกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ที่ไม่ สอดคล้องในการปฏิบัติงานจริง เปิดช่องว่างให้ข้าราชการบางคนใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้ง รังควานรีดไถหรือเรียกรับผลประโยชน์จากประชาชน ถ้าพบต้องดำเนินการทั้งคดีอาญาและวินัยไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
...
วันเดียวกันที่กระทรวงคมนาคม นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยหลังประชุมคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีส่วยสติกเกอร์ว่า กระทรวงไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่ลักษณะรถบรรทุกที่จะผ่านด่านตีความได้ 2 แบบ คือ ด่านกรมทางหลวงกับด่านตำรวจ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงคมนาคม คือด่านกรมทางหลวง ในที่ประชุมให้กรมทางหลวงมาอธิบายหลักการทำงาน ในปัจจุบันด่านชั่งน้ำหนักบรรทุกของกรมทางหลวงมีทั้งหมด 97 ด่าน ตามแผนจะต้องมีด่านชั่งน้ำหนักรวมทั้งสิ้น 128 ด่าน ดังนั้นการคัดกรองกรมทางหลวงจะต้องมีระบบคัดกรองรถทั้งหมดที่เข้ามาในระบบ ถ้ารถคันใดน้ำหนักเกินถึงจะเรียกให้เข้ามาชั่งซึ่งเป็นระบบดิจิทัลทั้งหมด เจ้าหน้าที่จะเข้าไปแทรกแซงไม่ได้ ดังนั้นคณะกรรมการได้ขอให้กรมทางหลวงจัดทำวิดีโอคลิปมาอธิบายประชาชน
นายพิศักดิ์กล่าวย้ำว่าจะแต่งตั้งคณะกรรมการชุดย่อยเข้ามาทำงานต่อเพื่อดูแลรายละเอียดแล้วชี้แจงประชาชนอย่างถูกต้องที่สุด จากนั้นจะกลับมาประชุมกันอีกครั้งถึงรายละเอียดในวันที่ 9 มิ.ย. พร้อมสาธิตให้ดูว่ามีสติกเกอร์แล้วจะผ่านไปได้อย่างไร เนื่องจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ไม่สนใจอยู่แล้วว่าเป็นสติกเกอร์อะไร ส่วนประเด็นของกรมการขนส่งทางบก เบื้องต้นในหลักการของขนส่งทางบกจะมีหน้าที่แค่ตรวจความเรียบร้อยของตัวรถว่าจด ทะเบียนรถถูกต้องหรือไม่ ดัดแปลงรถหรือไม่อย่างไร จะไม่เกี่ยวข้องกับการบรรทุกน้ำหนักเกิน ดังนั้นจึงไม่เกี่ยวกับการตรวจตรา ซึ่งหน้าที่นี้จะเป็นหน้าที่รับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง ทั้งนี้ในส่วนของสินบนนำจับของกรมทางหลวงที่ดูแลน้ำหนักเกิน กระทรวงขอให้ข้อมูลว่าจะแบ่งเป็น 20% จะเข้าหลวง, ค่าดำเนินการจับกุม 20% และที่เหลืออีก 60% แบ่งเป็นกรณีการพาดพิงในรายละเอียดตัวบุคคล ขอย้ำว่ากรมทางหลวงจะมีระบบ CCTV มีการสลับเจ้าหน้าที่เจ้าประจำทุก 8 เดือน รวมถึงมีการย้ายหัวหน้าชุดประจำหน่วยด้วย เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างในการทุจริต อย่างไรก็ตามจากการประชุมครั้งนี้จะเน้นการดูข้อเท็จจริงเป็นหลักว่าข้อกล่าวหาเป็นแบบไหนอย่างไร
...
ที่ จ.กาฬสินธุ์ ผู้สื่อข่าวรับการร้องเรียนจาก พ่อค้าขายลอตเตอรี่ในพื้นที่ อ.เมืองกาฬสินธุ์ว่า ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเรียกเก็บส่วยค่าคุ้มครองกับพ่อค้าแม่ค้าขายลอตเตอรี่ขาจรร่วม 100 คน พร้อมบอกว่า พวกตนขายลอตเตอรี่เกินราคาที่กำหนด และเพื่อแลกกับการไม่ถูกจับกุมต้องจ่ายค่าคุ้มครองคนละ 200 บาทต่อเดือน พ่อค้าแม่ค้ารายใดที่จ่ายส่วยค่าคุ้มครองจะได้รับสติกเกอร์เป็นรูปไก่ การ์ตูน ล่าสุดเป็นรูปน้ำเต้าติดไว้ที่แผงขายลอตเตอรี่ เพื่อให้รู้ว่าจ่ายส่วยค่าคุ้มครองแล้ว และจะเปลี่ยนรูปแบบสติกเกอร์ไปทุกๆเดือน พวกตนรับลอตเตอรี่มาเกินราคาอยู่แล้ว หากขายตามที่ราคากำหนดไว้ในสลากจะขาดทุน จำเป็นต้องขายเกินราคาใบละ 100 บาท ชุด 3 ใบขาย 400 บาท และชุด 5 ใบขาย 600 บาท
ขณะที่ พ.ต.อ.อิทธิเดช สุนทร ผกก.สภ.เมืองกาฬสินธุ์ กล่าวว่า กรณีมีชายอ้างเป็นตำรวจไปเก็บส่วยสติกเกอร์ลอตเตอรี่ ตรวจสอบไม่พบว่ามีตำรวจ สภ.เมืองกาฬสินธุ์ ไปเรียกเก็บ แม้กระทั่งตนยังต้องซื้อลอตเตอรี่ที่ขายเกินราคาอยู่เลย หากเรื่องนี้เป็น ความจริง ไม่ว่าไอ้โม่งเป็นตำรวจ หรือมีคนแอบอ้างเป็นตำรวจ ต้องสืบสวนหาข้อเท็จจริงให้กระจ่าง เพื่อไม่ให้ประชาชนมองภาพลักษณ์ตำรวจไปในทิศทางเป็นลบ