วันเสาร์สบายๆ นี้ ขอพักเรื่องการเมืองร้อนๆสักวันเป็นข่าวจาก สมาคมพ่อตัวอย่างแห่งชาติ
ซึ่งก่อตั้งมาจากการรวมตัวกันของ ผู้ได้รับพระราชทานเกียรติบัตรเป็นพ่อตัวอย่างแห่งชาติ เนื่องในโอกาสวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาฯ มหาราช จากบุคคลหลากหลายสาขาอาชีพ
ที่มีความรู้สึกตรงกันว่า การได้รับการคัดสรรให้เป็นพ่อตัวอย่างแห่งชาตินั้น นอกจากเกียรติที่ได้รับแล้ว น่าจะได้ใช้ความรู้ ความสามารถ และศักยภาพ ที่มีอยู่ของแต่ละคน มาร่วมกันทำประโยชน์ต่อประเทศชาติ
และยังมีโอกาสได้มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เพื่อช่วยเติมเต็มความรู้ ให้การใช้ชีวิตในบั้นปลายได้อย่างมีคุณภาพ
โดยเฉพาะพ่อตัวอย่างแห่งชาติส่วนใหญ่ มีอายุสูงวัย จะได้มีสังคมใหม่ที่ดี และสามารถช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
ปีนี้ คณะกรรมการสมาคมพ่อตัวอย่างแห่งชาติ มีมติให้จัดงาน “วันรวมใจพ่อ” ครั้งที่ 14 ไปเมื่อวันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา
มี พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี มาเป็นประธานในพิธี
ในพิธีได้มีการมอบรางวัลให้กับพ่อตัวอย่างแห่งชาติผู้ทรงคุณค่าด้วย
จากการคัดสรรผู้ที่ได้รับรางวัลพ่อตัวอย่างแห่งชาติผู้ทรงคุณค่าประจำปี 2565 มีอยู่ 2 ท่าน
ภาคราชการ ได้แก่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา
และ ภาคเอกชน ได้แก่ นายประยุทธ มหากิจศิริ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท พีเอ็ม กรุ๊ป
ซึ่งทั้ง 2 ท่านนี้ เป็นบุคคลที่สังคมให้การยอมรับ ถือเป็นแบบอย่างให้กับคนทั่วไปได้
พอดีมีพรรคพวกส่งคลิปวิดีโอ เป็นวีทีอาร์ที่กล่าวในงาน ของคุณประยุทธ มาให้ผมดู
...
เห็นว่ามีเนื้อหาที่พอจะเป็นประโยชน์ มาเล่าสู่กันฟังได้
จากความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ จนสามารถแตกไลน์ธุรกิจไปได้หลากหลายสาขา
ภาพจำที่สุดของทุกคนคือ “เจ้าพ่อเนสกาแฟ”
แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า ธุรกิจที่แตกสาขาของ “เจ้าสัวเป้า” ยังมีธุรกิจ อุตสาหกรรมเหล็ก, อุตสาหกรรมทองแดง, การบริการขนส่งทางเรือขนาดใหญ่ รวมถึงการปลูกสวนป่าต้นสักกว่า 5 แสนต้น
และช่วงนี้ที่ดูเอาจริงเอาจังมาก ก็คือ ธุรกิจสมุนไพรสกัด จากลำไย P–80 จนได้ฉายาใหม่ “เจ้าพ่อลองก้า” จากมวลหมู่พรรคพวก
ในวีทีอาร์ คุณประยุทธพูดถึงหลักการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะความรับผิดชอบต่อครอบครัว ที่จะเป็นพื้นฐานไปสู่ความรับผิดชอบในระดับชาติต่อไป
การสอนลูกทั้ง 3 คน มีหลักคิดง่ายๆ คือ เกิดมาทั้งทีถ้ามีโอกาสต้องสร้างครอบครัว เพื่อมีลูกหลานสืบตระกูล และทุกอย่างต้องมีพื้นฐานมาจากความรัก
แม้แต่คนในครอบครัว ก็มีสิทธิเห็นแตกต่างกันได้ และการแก้ปัญหาในครอบครัว อย่าใช้เหตุผลเป็นหลัก ให้ใช้ความรัก และต้องอดทนกับความรัก จึงจะทำให้ครอบครัวมีความสุข
และนำพื้นฐานตรงนี้ ไปปรับใช้กับการทำธุรกิจ คือ ไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไร ต้องเริ่มที่ความชอบ บวกกับความใส่ใจ ที่สำคัญคืออย่าประมาท
ทำให้ทุกวันนี้ในวัยเกือบจะ 80 ก็ยังคงขยายธุรกิจอย่างมีความสุข
เชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพ ถ้ารู้จักนำศักยภาพนั้นมาใช้ ก็ประสบความสำเร็จได้.
เพลิงสุริยะ