การระบาด “โควิด-19” ยังคงแผ่อิทธิพลปกคลุมประเทศไทยส่งผลกระทบต่อครอบครัวผู้ยากไร้ และกลุ่มเปราะบาง ที่มีต้นทุนทางสังคมต่ำเดือดร้อนหนักกว่ากลุ่มอื่นมายาวนานกว่าปีเศษแล้ว

กลายเป็นปัจจัยผลักดันให้ “พินิจ” นักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนสุเหร่าคลองหนึ่ง ต้องพาน้องชาย วัย 10 ขวบ ดิ้นรนออกมาหารายได้พิเศษ ในช่วงว่างจากการเรียนหนังสือ ด้วยการใช้ “เสียงพิณดนตรีพื้นบ้านของภาคอีสานประกอบดนตรีเปิดหมวก” ตระเวนไปตามตลาดสด และสถานที่ต่างๆ ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ

เพื่อขอความช่วยเหลือสมทบเงินจาก “ผู้ใจบุญชื่นชอบในเสียงดนตรี” เดินผ่านไปผ่านมานี้นำมาจุนเจือครอบครัวเลี้ยงปากท้องประทังชีวิต 7 คน ในช่วงวิกฤติโควิด-19 ระบาดหนักแสนสาหัส ที่ทำให้ “พ่อแม่” ที่มีอาชีพก่อสร้างได้รับผลกระทบจาก “มาตรการปิดแคมป์และไซต์ก่อสร้าง” ตกงานขาดรายได้

เรื่องราวนี้ถูกเปิดเผยระหว่าง “2 พี่น้อง” กำลังเล่นพิณ ดนตรีสดเปิดหมวก ขอรับบริจาคเงินจากผู้มาจับจ่ายซื้อของในตลาดกระเทียม ในซอยพัฒนาการ 32 กทม. ตลอดการบรรเลงเล่นพิณขับกล่อมเรียกความสนใจจากผู้ออกมาซื้อกับข้าวในตลาดนี้ต่างพากันช่วยบริจาคเงินหย่อนลงในกล่องที่จัดวางไว้แล้วแต่แรงศรัทธา

...

ทั้งกล่าวชื่นชมถ่ายคลิปวิดีโอด้วยความประทับใจกันเป็นระยะ “ทีมสกู๊ปหน้า 1” สังเกตการณ์พักใหญ่ก่อนเข้าสอบถาม “น้องพินิจ” เล่าว่า ปกติแล้ว “แม่” เป็นชาวกัมพูชา ส่วน “พ่อ” เป็นคนไทย ทั้ง 2 คน ได้พบรักกันในแคมป์ก่อสร้าง ก่อนตัดสินใจอยู่กินด้วยกันจนตั้งท้องตัวเองเป็นลูกคนแรก

เท่าที่จำความได้ “สมัยเด็กอยู่ไซต์งานก่อสร้างมาตลอด” ต้องย้ายไปเรื่อยมีที่พักพิงเป็นแคมป์คนงานชั่วคราวไว้ “หลับนอน” ในความเป็นอยู่ “ลูกคนงานในแคมป์” มักใช้ชีวิตอยู่รวมกันมีอิฐ หิน ดิน ทราย เป็นของเล่น ยามที่ “พ่อแม่” ต้องไปทำงานก่อสร้างอยู่เสมอ

ต่อมา “แม่ก็มีน้องอีก 3 คน” ทำให้ต้องทำหน้าที่ดูแลเลี้ยงน้องๆ ช่วยพ่อแม่ที่ออกไปทำงานหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว เมื่อพอมีเงินมีทองแล้วก็มาเช่าห้องพักรายเดือน ในชุมชนสุเหร่าคลองหนึ่ง อาศัยอยู่ด้วยกัน 7 คน คือ พ่อ แม่ ลุง และพี่น้องอีก 3 คน จนมีโอกาสได้เข้าโรงเรียนสุเหร่าคลองหนึ่งมาจนถึงทุกวันนี้

ย้อนไปสมัยยังเด็กจำได้ว่ามีช่วงหนึ่ง “ครอบครัว” เคยไปทำงานไซต์งานก่อสร้างในพื้นที่ “ภาคอีสาน” ทำให้เจอ “ผู้ใหญ่ในแคมป์เล่นพิณสด” เมื่อได้ยินเสียงแล้วรู้สึกไพเราะจากจังหวะพิณสนุกเพลิดเพลินเร้าใจ จึงขอจับเล่นพิณครั้งแรกยิ่งรู้สึกอยากเล่นให้เก่งกว่านี้ที่ “เก็บความชื่นชอบฝังใจ” มาจนเติบโต

พอย้ายกลับเข้ามาอยู่ไซต์งานในกรุงเทพฯ เข้าโรงเรียนสุเหร่าคลองหนึ่ง มีโอกาสฝึกหัดเล่นพิณจริงจังจาก “อาจารย์หนุ่มอุทัย” เริ่มฝึกไล่นิ้วไล่โน้ตเรียงตามลำดับ โด เร มี ฟา ซอล ลา ที โด จนเคลื่อนย้ายนิ้วไปตามคอพิณคล่องแล้วก็ฝึกเล่นได้เพลง จากนั้นไม่นาน “อาจารย์หนุ่มอุทัย” ก็ได้เสียชีวิตจากโรคประจำตัว

ต่อมา...ก็พยายามฝึกหัดเล่นด้วยตัวเองจากยูทูบมาเรื่อยๆ กระทั่งเห็นข่าวตามสื่อที่มี “นักเรียนเล่นพิณเปิดหมวกหารายได้เป็นทุนการศึกษา” ยิ่งเป็นแรงผลักดันให้ตั้งใจฝึกหัดแกะลายพิณเล่นเพลงให้หลากหลาย ตอนนั้นดีดเล่นพิณได้ 4 เพลง เช่น ลําเต้ย สาวนาขาดรัก ลายโปงลาง ค่าน้ำนม

ก่อนตัดสินใจออกมาหาเงินรายได้พิเศษครั้งแรกสัปดาห์ละ 2 วัน คือ วันเสาร์และอาทิตย์ คราวนั้นจำได้ว่า “ยืนเล่นพิณ 3-4 ชั่วโมง มีผู้บริจาค 400-500 บาท” ที่ได้มาช่วยค่าน้ำ ค่าไฟ และค่ากับข้าวได้บ้าง

“ตอนนั้นรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกจากเงินก้อนแรกในชีวิตที่หาได้จากน้ำพักน้ำแรงทำให้เห็นช่องทางหาเงินมาช่วยครอบครัวโดยทำมานานกว่า 2 ปี แต่ละวันมีรายได้ไม่แน่นอนเฉลี่ย 400-1,000 บาท ส่วนเงินได้มาให้พ่อแม่แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายครัวเรือนทั้งหมด ทั้งยังเก็บเป็นทุนการศึกษาของตนเอง และน้องๆอีกด้วย”

น้องพินิจว่า ต้องขอบอกอย่างนี้ “เด็กต่างด้าวในเมืองไทย” มีชีวิตลำบากแบบสุดๆ “ทุกคนต้องต่อสู้ดิ้นรนทำงานทุกอย่าง เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตนเอง และครอบครัวให้อยู่รอด” ที่ยากลำบากแบบไม่เคยเจอมาก่อน ทั้งถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกกดขี่บีบบังคับไร้ซึ่งสิทธิมนุษยชน

...

บางวันแทบไม่มีเงินจะซื้อข้าวกิน “ชีวิตอยู่แต่ในแคมป์ก่อสร้างเพิงสังกะสี” ต้องย้ายไปย้ายมาอยู่บ่อยๆ ทั้งเต็มไปด้วยความเสี่ยง...ขาดสิทธิความคุ้มครอง เวลาเจ็บป่วยไม่มีโอกาสเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล แต่เราต้องสู้แบบชนิด “ปากกัดตีนถีบเลือดตาแทบกระเด็น” เพื่อให้มีรายได้เพียงพอกับค่าครองชีพแต่ละวัน

โชคดี “พ่อมีสัญชาติไทย” ที่มาเช่าห้องมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแล้วจึงมีโอกาสได้เข้าโรงเรียน แต่ก็มี “แรงงานต่างด้าวหลายครอบครัว” ไม่มีเงินส่งเสียให้ลูกได้เรียนเยอะเต็มไปหมด

เมื่อมีโอกาสได้เรียนหนังสือแล้วจึงพยายามแบ่งเวลาให้เหมาะสมในการออกเล่นพิณเปิดหมวก “ไม่กระทบต่อการเรียน” ประคองให้ผลการเรียนเกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.00 เพื่อให้มีความรู้อ่านออกเขียนได้ไม่ถูกโกงโดนหลอกรังแกสารพัดอย่างที่ “หลายคน” ถูกกระทำกันมีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง

เพราะเชื่อว่า “การศึกษาจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น” สามารถเข้าถึงสิทธิต่างๆ มีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพการดำรงชีวิตที่ดีกว่านี้

...

ส่วนความฝันถ้ามีโอกาสเป็นไปได้ก็อยาก “รับข้าราชการทหาร” อยากช่วยเหลือดูแลประชาชน และปกป้องประเทศชาติ เพราะ “ทหาร” มีภารกิจในการดูแลให้ความช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากเสมอ

หากว่าไม่มีโอกาสนั้นจริงก็ “ขอเรียนหนังสือให้จบระดับปริญญาตรี หรือสูงกว่านั้น” เพื่อจะได้นำความรู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาไปพัฒนาสร้างให้เกิดรายได้เพียงพอต่อ “การเลี้ยงพ่อแม่และน้องๆ ให้อยู่ดีกินดี” ยกฐานะให้ดีขึ้นมีบ้านเป็นของตัวเอง เพราะไม่ต้องลำบากเหมือนอย่างที่เป็นอยู่แบบนี้อีกต่อไปแล้ว

กระทั่งมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่ทันได้ “คลี่คลายฟื้นตัวดี” ก็ต้องมาเจอ “การระบาดระลอก 3” ตั้งแต่ 1 เม.ย.-6 ก.ค.มีผู้ติดเชื้อรายใหม่พุ่ง 5-6 พันต่อวัน และยอดสะสม 2.6 แสนราย เสียชีวิต 2 พันกว่าคน “รัฐบาล” ต้องประกาศใช้ “มาตรการกึ่งล็อกดาวน์” ปิดแคมป์ก่อสร้างห้ามเคลื่อนย้ายแรงงาน 30 วัน

เพื่อสกัดกั้นการระบาดในพื้นที่สีแดงเข้มเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และ 4 จังหวัดภาคใต้ โหมกระหน่ำซ้ำเติมคนหาเช้ากินคํ่าทำให้ “พ่อแม่ และลุง” พลอยรับผลกระทบต้องหยุดงานก่อสร้างขาดรายได้ ดังนั้น “ตัวเอง และน้องชาย” ต้องออกมาเล่นพิณเปิดหมวกหาเงินเลี้ยงปากท้อง 7 ชีวิตให้อยู่รอดในช่วงนี้

...

ด้วยการขยันออกมาเปิดหมวกมากขึ้นกว่าเดิมจากที่เคยทำเฉพาะในวันหยุดเสาร์และอาทิตย์ ต้องออกมา “เล่นพิณเปิดหมวกทุกวัน” ในช่วงเย็นหลังเลิกเรียนออนไลน์ใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง ทำให้ชีวิตอาจไม่เหมือนเด็กคนอื่น และไม่มีโอกาสได้เล่น หรือร่วมกิจกรรมกับเพื่อนมากนัก เพื่อแลกกับการได้เงินรายได้นี้

ตอกย้ำเหตุการณ์บ่อยครั้งมักถูกเพื่อน “บูลลี่ล้อเลียนเกี่ยวกับการเล่นพิณเปิดหมวกแลกเงิน” แต่ก็ไม่สนใจเพราะเราใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนให้เกิดประโยชน์ ในการใช้ความสามารถประกอบอาชีพสุจริตสร้างเงินสร้างรายได้จุนเจือครอบครัวให้มีข้าวกินอิ่มท้องทุกมื้อก็พอใจแล้ว

สิ่งสำคัญ “อยากให้พ่อแม่อยู่สบายๆ” มีเงินใช้ทุกเดือน แม้ว่าตัวเองจะเหนื่อยมากเพียงใดก็ไม่เป็นไร “เราเกิดมาเป็นลูกผู้ชายต้องสู้อดทน” ขอเพียงให้ครอบครัวนอนอยู่บ้านสบายก็พอใจและดีใจมากแล้ว

ดั่งคำว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” ขอเพียงเราขยันหมั่นเพียร และไม่เกียจคร้านแล้วชีวิตนี้ย่อมมีกินไม่อดตายแน่นอน.