เมื่อไม่นานมานี้มีการคาดการณ์ถึงระดับน้ำที่จะสูงมากขึ้น และมีการประเมินกันว่า “กรุงเทพฯ” และ “ปริมณฑล” จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ จมอยู่ใต้น้ำทะเล กลายเป็นเมืองบาดาล ที่มีข้อมูลนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ ต่างออกมา “ถกเถียง” ถึงความเป็นไปได้

ชี้ถึงปัญหา “ภาวะโลกร้อน” สาเหตุมีผลกระทบจะทำให้เกิดน้ำท่วมโลก และพื้นดินหลายแห่ง จนมีแนวคิดเสนอ...ในการสร้างเมืองหลวงแห่งที่ 2 หรือการย้ายเมืองหลวงไปอยู่พื้นที่อื่น...

เกิดเป็นกระแสแพร่สะพัด...กระจายทั่วบ้านทั่วเมือง มีความวิตกกังวลกันเป็นวงกว้าง...ตื่นตระหนกกันอย่างหนัก กระทั่ง...มีบางคนตื่นกลัวขนาดต้อง “จับจอง...หาซื้อที่ดินในต่างจังหวัด” โดยเฉพาะพื้นที่ที่ราบสูง เตรียมความพร้อมไว้ก่อน หากมีเหตุฉุกเฉินสามารถย้ายไปอยู่ได้ทันที

เรื่องนี้มีโอกาสเกิดขึ้นแค่ไหน ดร.ศิริลักษณ์ ชุ่มชื่น ประธานคณะอนุกรรมการวิศวกรรมแหล่งน้ำ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ ให้ข้อมูลว่า ในเรื่องน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ จมบาดาลนี้...มีคนเคยถามบ่อยๆ โดยเฉพาะนำเหตุการณ์เปรียบเทียบกับกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงประเทศอินโดนีเซีย ที่มีการทรุดตัวของผืนดินเลวร้ายรวดเร็ว

ดร.ศิริลักษณ์ ชุ่มชื่น
ดร.ศิริลักษณ์ ชุ่มชื่น

...

เพราะกรุงเทพฯและปริมณฑล มีปัจจัยการทรุดตัวใกล้เคียงกัน...เช่น ช่วงฤดูฝน มีฝนตกชุกหนักกว่าปกติ ระบบระบายน้ำกลับล่าช้า โดยเฉพาะการดูดน้ำใต้ดินมาใช้ปริมาณมากเกินไป

ทำให้ต้องมาอธิบายปัจจัย ความเสี่ยงและโอกาสที่จะเกิดขึ้นกันก่อน...

สภาพชั้นดินของกรุงเทพฯและปริมณฑล ลักษณะชั้นดินเหนียวกรุงเทพฯ คือชั้น Crust ลึกประมาณ 0-2 เมตร เป็นดินเหนียวชั้นบนสุด และชั้นดินเหนียวอ่อนมาก (Soft Clay) ความลึกราว 7-15 เมตร ถัดมาเป็นชั้นดินเหนียวแข็ง (Stiff Clay) มีความลึกประมาณตั้งแต่ 15-24 เมตร ก่อนเจอชั้นทรายชั้นแรก และชั้นดินเหนียวแข็ง

การทรุดตัวในกรุงเทพฯและปริมณฑล เกิดจากชั้นดินเหนียวอ่อนระดับความลึก 20-26 เมตร เพราะมีชั้นดินหนา...มีโอกาสทรุดตัวมาก เสมือนฟองน้ำมีความหนา ก็ยุบตัวมาก...ฟองน้ำบางก็ยุบตัวน้อย

ปี 2555 เคยศึกษาโครงการจัดทำแผนแม่บทป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจากแผ่นดินไหวและอาคารถล่ม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พบว่า พื้นที่มีความหนาชั้นดินเหนียวอ่อนมากที่สุดในระดับ 26 เมตร และมีโอกาสชั้นดินทรุดตัว คือ...

เขตบึงกุ่ม บางกะปิ คันนายาว ภาษีเจริญ ตลิ่งชัน ธนบุรี บางกอกน้อย อ.ธัญบุรี อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และ อ.บางบ่อ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ สาเหตุมีอยู่ 3 ปัจจัย คือ ปัจจัยที่หนึ่ง...มีการกดทับของตัวอาคารจากการขยายตัวของเมือง ปัจจัยที่สอง...เกิดจากการทรุดตัวตามธรรมชาติ

ปัจจัยที่สาม...มีผลที่สุด...การสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ในปริมาณมากเกินกว่าที่น้ำบาดาลตามธรรมชาติจะไหลเข้ามาแทนที่ได้ทัน ซึ่งมีการเริ่มใช้น้ำบาดาลกันมาราวปี 2450...

กระทั่งปี 2473 ได้สำรวจการทรุดตัวชั้นดินครั้งแรก 21 หมุด จนถึงปี 2521 มีการสำรวจครั้งที่ 2 พบว่าอัตราการทรุดตัว 0.4-1.9 ซม.ต่อปี ในเวลา 45 ปี มีการทรุดตัว 20-85 ซม. การทรุดตัวมากในเขตหัวหมาก บางกะปิ

ในปี 2520...ประกาศใช้ พ.ร.บ.น้ำบาดาล ออกมาตรการและสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้น้ำประปาแทนน้ำบาดาลเพื่อควบคุมการใช้น้ำบาดาล โดยผู้ที่จะใช้น้ำบาดาลต้องขออนุญาตก่อน

แต่ในปี 2521-2540 ยังมีอัตราทรุดตัว 1.5-3.5 ซม.ต่อปี ภายในเวลา 20 ปี มีการทรุด 30-70 ซม. สำหรับพื้นที่ที่มีการทรุดตัวมากสุด ในบริเวณเขตพระโขนง ห้วยขวาง บางกะปิ มีนบุรี ลาดกระบัง อ.พระประแดง อ.บางพลี อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ เพราะการขยายตัวของเมือง และเศรษฐกิจ โรงงานอุตสาหกรรม

มาถึงปี 2535 และปี 2546 ปรับปรุง พ.ร.บ.ปี 2520 กำหนดเขตห้ามสูบน้ำบาดาล มีทั้งโทษจำคุกและปรับขึ้น ประกอบกับมีน้ำประปาเพิ่มขึ้น ทำให้มีการเลิกสูบน้ำบาดาลมาใช้กัน มีผลให้การทรุดตัวของชั้นดินน้อยลง...

จนมาถึงปี 2554 มีอัตราการทรุดตัว 0.6-0.7 ซม.ต่อปี และมีการคำนวณแบบจำลองเชิงคณิตศาสตร์ คาดการณ์นับจากปี 2563-2593 ใน 30 ปีข้างหน้า จะทรุดตัวอีก 19-22 ซม. และปี 2563-2613 ใน 50 ปีข้างหน้า จะทรุดตัวอีก 31-35 ซม. แสดงว่าอัตราทรุดตัวกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีแนวโน้มลดลง...

ทว่า...ปัจจัยในเรื่องน้ำทะเลสูงขึ้น จากภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) สาเหตุมีการปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในการเผาไหม้เชื้อเพลิง การขนส่ง และการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม ถือว่า มีส่วนผลักดันส่งเสริมเชื่อมโยงให้น้ำท่วมกรุงเทพฯและปริมณฑลเช่นกัน

นับตั้งแต่ปี 1980 อุณหภูมิสูงเกินกว่าค่าเฉลี่ย 0.2 องศา ในปี 2000 สูงถึง 1 องศา ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลายระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 0.35 ซม.ต่อปี

ประเทศไทยรับผลกระทบมานับตั้งแต่ปี 1981 อุณหภูมิสูงขึ้น 1 องศา ทำให้เกิดภาวะลมฟ้าอากาศแปรปรวนสุดโต่ง มีฝนตกหนัก...มีอากาศแล้งนานกว่าปกติ ตามสถิติวัดระดับน้ำทะเลอ่าวไทยตอนบน ในพื้นที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม มีการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลเฉลี่ย 0.3 ซม.ต่อปี

...

คาดการณ์ว่าอนาคต 30 ปี ในปี 2593 ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น 9 ซม. ถ้าโลกมุ่งด้านเศรษฐกิจ ไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มีการคำนวณพิจารณา Climate Change ที่ Japan Bank for International Cooperation คาดไว้ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น 22 ซม. กรณีนี้จะมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1.9 องศา และมีปริมาณฝนเพิ่มขึ้น 3%

“หากนำอัตราการทรุดตัวของชั้นดินข้างต้นเฉลี่ย 1 ซม.ต่อปี ในอนาคต 30 ปี จะเกิดการทรุดตัว 30 ซม. ดังนั้นการเพิ่มระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์สูงขึ้น หากเทียบกับระดับพื้นดินจะห่างกันประมาณ 39-52 ซม. อาจเกิดปัญหาในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตามมา” ดร.ศิริลักษณ์ ว่า

เมื่อระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น มีโอกาสย้อนเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยา เพราะไม่มีประตูกั้นปากแม่น้ำ ประกอบกับมีปัจจัยในเรื่องคลื่นพายุซัดฝั่ง (Storm Surge) ที่เกิดจากพายุ ระดับคลื่นทะเลสูง ทะลักเข้าแม่น้ำเจ้าพระยา และกระทบต่อการระบายน้ำในกรุงเทพฯ

ในประเทศไทยเคยเกิดคลื่นพายุซัดฝั่ง ในปี 2505 เกิดพายุโซนร้อนแฮเรียต แหลมตะลุมพุก ปี 2532 เกิดพายุไต้ฝุ่นเกย์ ใน จ.ชุมพร ยาวถึงชายฝั่ง จ.ระนอง และปี 2540 เกิดพายุไต้ฝุ่นลินดา อ่อนกำลังลงพัดเข้าสู่ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ส่งผลกระทบถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยา คลื่นยกตัวสูงขึ้น 0.61 เมตร

โชคดี...กรุงเทพฯมีภูเขาบัง ทั้งฝั่งตะวันตก และตะวันออก ทำให้พายุอ่อนกำลังลงเป็นดีเปรสชัน กลายเป็นฝนตกหนักในกรุงเทพฯ ส่วนพื้นที่อ่าวไทยตอนบน มีลักษณะแคบลงและตื้น ถ้ามีการเคลื่อนตัวพายุมาทางพื้นที่อ่าวไทยตอนบนจะอ่อนกำลังลงเช่นกัน ในการเกิดพายุไม่สามารถเคลื่อนตัวเข้าพื้นที่โดยตรงได้

ที่ผ่านมามีการจำลองสถานการณ์เลวร้ายที่สุด ใน 30 ปีข้างหน้านี้ ด้วยปัจจัยทั้ง 3 ด้าน คือ ดินทรุดตัวเฉลี่ย 1 ซม.ต่อปี ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น 22 ซม. และคลื่นพายุซัดฝั่งสูงขึ้น 0.61 เมตร และมีฝนตกหนัก ปรากฏว่า...เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ต่างๆของกรุงเทพฯและปริมณฑล เพิ่มขึ้น 33% ระดับน้ำท่วมสูง 10-100 ซม.เท่านั้น

...

สิ่งนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการใช้สิ่งก่อสร้างระบบปิดล้อม คันกั้นน้ำ และพื้นที่แก้มลิง การสร้างประตูระบายน้ำปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยา คลองผันน้ำ และป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง

แต่ที่ลือกันว่า...“น้ำท่วมโลก” จากองค์กรหนึ่ง ถ่ายดาวเทียม...มองต้นไม้เป็นพื้นดิน นำมาเทียบกับคาดการณ์น้ำทะเล 100 ปีข้างหน้า เพิ่มระดับ 50 ซม.-2 เมตร วิเคราะห์ออกมากลายเป็นน้ำทะเลเพิ่มเกินจริงเรื่องนี้ก็ไม่ทราบข้อมูลถูกหรือไม่?

ที่แน่ๆ...ใน 30 ปีข้างหน้า ระดับน้ำสูงไม่เกิน 1 เมตร ประกอบกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน มีการปรับเปลี่ยนมาตรการ... เตรียมพร้อมรับมือให้เหมาะสมตามยุคอยู่ตลอด สถานการณ์อาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิด...

“ภัยธรรมชาติ”...หลีกเลี่ยงไม่ได้...แต่ทุกคนต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ให้ได้.