“ด่วน ระเบิด วัตถุต้องสงสัย ป่วนกรุง ไม่ถึง 24 ชม. อัปเดตหลายจุดแล้ว” บันทึกสถานการณ์สั่นไหวโดย “ไทยรัฐออนไลน์” วันที่ 2 ส.ค.2562 เวลา 10.06 น.
...เกิดเหตุวัตถุต้องสงสัย ระเบิด ป่วนกรุงเทพฯหลายจุดในวันนี้ หลังจากที่เมื่อวานนี้มีการวางวัตถุต้องสงสัยบริเวณหน้า สตช. เมื่อเวลา 09.50 น. วันที่ 2 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเหตุพบวัตถุต้องสงสัย เสียงดังคล้ายระเบิดและระเบิดในพื้นที่กรุงเทพฯมาตั้งแต่เมื่อช่วงบ่าย วันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา สรุปเหตุเบื้องต้น...
1.เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 1 ส.ค. เกิดเหตุวางวัตถุต้องสงสัยหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เจ้าหน้าที่กำลังเร่งติดตามผู้ก่อเหตุ
2.เมื่อสายวันที่ 2 ส.ค. เกิดเหตุระเบิดไม่รุนแรง บริเวณเขตสวนหลวง มีผู้คนบาดเจ็บเป็นพนักงานกวาดถนนของ กทม.
3.เมื่อช่วงสายวันที่ 2 ส.ค. เกิดเหตุเสียงดังคล้ายระเบิดบริเวณใต้บีทีเอสช่องนนทรี มีรถยนต์และสิ่งปลูกสร้างเสียหายเล็กน้อย
4.เมื่อช่วงสายวันที่ 2 ส.ค. มีเสียงดังคล้ายระเบิดบริเวณอาคารมหานคร ใกล้เคียงสถานีบีทีเอสช่องนนทรี
5.เมื่อช่วงสายวันที่ 2 ส.ค. เกิดเหตุคล้ายระเบิดในบริเวณศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ
6.เมื่อช่วงสายวันที่ 2 ส.ค. เกิดเหตุคล้ายระเบิดบริเวณหน้าป้ายสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ถ.ศรีสมาน ทั้งนี้...หากมีความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป

...
เสียงสะท้อนหลากหลายมุมมองวิเคราะห์ออกไปในหลากทิศทางแต่หนึ่งในมุมสำคัญหนีไม่พ้นความแตกแยกแบ่งฝักฝ่ายเมื่อครั้งในวันวานที่ยังเป็นรอยแผลบาดลึกยากที่จะปรองดองสมานฉันท์กันได้
ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส เปิดมุมมองไว้น่าสนใจในเรื่อง “การเมืองยุคใหม่และบทบาทของนายกรัฐมนตรีคนต่อไป” ย้ำว่า ประเทศไทยควรก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ยุคกำหนดด้วยวิธีคิด
“วิธีคิดในยุคเก่าคือ...คิดเชิงปฏิปักษ์ แบ่งขั้วแบ่งข้างทำลายกัน เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาแล้ว การคิดแบบนี้เป็นการทอนกำลังกัน ทำให้ประเทศไทยออกจากสภาวะวิกฤติไม่ได้ แม้มีปฏิวัติรัฐประหาร รัฐธรรมนูญกว่า 20 ฉบับ ก็ออกจากวิกฤติไม่ได้ เพราะวิธีคิดยังเหมือนเดิม”
ความจริงคนไทยมีความสามารถที่จะคิดเป็นอย่างอื่น เช่น คราววิกฤติทีมหมูป่าติดถ้ำหลวง คนไทยทั้งหมดรวมใจก้าวข้ามการแบ่งแยกทุกประเภท และเสียสละ ไม่มีใครคิดเห็นแก่ตัว
นั่นคือ สำนึกแห่งองค์รวม ที่ลือลั่นไปทั่วโลก
“สังคมที่จะมีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสมดุล ขาดสำนึกแห่งองค์รวมไม่ได้ เซลล์มะเร็งเป็นตัวอย่างของเซลล์ที่ขาดสำนึกแห่งองค์รวม ทำให้ระบบร่างกายแปรปรวนดำรงอยู่ไม่ได้ ประเทศไทยยุคใหม่ต้องคิดก้าวข้ามการแบ่งแยกทุกประเภท ช่วยกันประกอบเครื่องประเทศไทยให้สมบูรณ์ในระบบ”
ยกตัวอย่างเช่น ร่างกายก็ดี รถยนต์ก็ดี มีส่วนประกอบมากหลาย ส่วนประกอบเหล่านี้ต้องสัมพันธ์กันอย่างถูกต้อง ในความสัมพันธ์นั้นมีทั้งการทำงานเชื่อมโยงกัน และกำกับซึ่งกันและกันพร้อมกันไป...ไม่ได้แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ระบบการเมืองฝรั่งที่แยกขั้วสุดๆก็ไปไม่รอดแล้ว อย่าไปเอาอย่างเขา
หันมาหาจุดแข็งของเราเอง แบบสปิริตของ “คนไทย” ในเหตุการณ์วิกฤติหมูป่าถ้ำหลวง ความจริงประเทศไทย “วิกฤติรุนแรง” มากกว่าวิกฤติเฉพาะกรณีหมูป่าถ้ำหลวงมากนัก
คนไทยต้องรวมตัวรวมใจก้าวข้ามการแบ่งแยกทุกประเภท
ฉายภาพให้เห็นใกล้ตัวมากขึ้น...การเลือกนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี อย่างสมานฉันท์
ประเวศ บอกว่า ตามวิธีคิดยุคใหม่ดังกล่าวข้างต้น ส.ส. ทั้ง 500 คน ควรจะปรึกษาหารือกัน โดยก้าวข้ามประโยชน์ของพรรค แต่คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง ให้ได้นายกรัฐมนตรีที่เหมาะสมที่สุด ที่ทุกคนหรือเกือบหมดทุกคนเห็นชอบร่วมกัน...“ดูวิธีเลือกพระสันตะปาปาเป็นตัวอย่าง พระคาร์ดินัลทั้งหมดจากทั่วโลกประชุมกันที่วาติกันข้ามวันข้ามคืนจนได้มติเป็นเอกฉันท์ว่า พระคาร์ดินัลรูปใดจะได้รับเลือกให้เป็นพระสันตะปาปาองค์ใหม่”

วิธีนี้นายกรัฐมนตรีคนใหม่จะได้มาจากความสมานฉันท์ ไม่ใช่เกิดขึ้นท่ามกลางความแตกแยกและแตกแยกกันต่อไป “นายกรัฐมนตรี”...มีอิสระเต็มที่ โดยวิจารณญาณอย่างดีที่สุด คัดเลือกรัฐมนตรีที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดที่จะทำงานเพื่อประเทศชาติ ไม่ถูกจำกัดด้วยการต่อรองด้วยอิทธิพลใดๆ
ประเด็นถัดมา...ประเทศมีสิทธิโดยชอบธรรม ที่จะได้รัฐมนตรีที่ดีที่สุด ไม่ใช่สิทธิของพรรค หรือของ ส.ส. โดยสำนึกแห่งองค์รวมเช่นนี้ การเมืองจะเข้าสู่ยุคใหม่ ประเทศชาติจะเริ่มต้นไปได้ด้วยดี
...
“นักการเมืองทั้งหมด...ทุกภาคส่วนของสังคมร่วมกันประกอบเครื่องประเทศไทยให้สมบูรณ์ ที่ทั้งทำงานร่วมกัน...กำกับซึ่งกันและกันพร้อมกันไป ไม่ได้แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ที่ฝ่ายกูก็ถูกทุกอย่าง ฝ่ายตรงข้ามก็ผิดทุกอย่าง ธรรมชาติไม่ได้เป็นอย่างนั้น”
อีกประเด็นจี้หัวใจ “นายกรัฐมนตรีคนใหม่...อย่าทำแบบเก่าๆ” แบบเก่าๆที่ว่าคือ บริหารงานแบบจิปาถะ เป็นประธานคณะกรรมการเป็นสิบเป็นร้อยชุด ยุ่งและเหนื่อยไปหมด แต่ไม่ได้เรื่องที่สำคัญๆ
ประธานาธิบดีอเมริกันคนหนึ่งกล่าวว่า หน้าที่ของประธานาธิบดี “น้อยที่สุดคือการบริหาร–The least for administration” ที่สำคัญที่สุดคือการแสดงทิศทางที่ประเทศจะดำเนินไป
เมื่อจอห์น เอฟ เคนเนดี้ ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี คนอเมริกันกำลังขวัญเสียว่าอเมริกาสู้รัสเซียไม่ได้ในทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี เพราะ สหภาพโซเวียตยิงสปุตนิกขึ้นไปโคจรรอบโลกได้ก่อนอเมริกา เคนเนดี้ประกาศว่า “อเมริกาจะลงดวงจันทร์ภายใน 10 ปี” ขณะนั้นสหรัฐฯไม่มีความพร้อมเลย แต่เมื่อประธานาธิบดีปักธงเช่นนั้นกลไกทุกอย่างของประเทศก็เข้าเกียร์ไปสู่ความมุ่งมั่นร่วมกันทำให้ลงดวงจันทร์ได้จริงๆในกำหนด 10ปี
“นายกรัฐมนตรี”...ต้องเป็นผู้นำแสดงทิศทางใหญ่ๆของประเทศ และก่อให้เกิดความบันดาลใจอย่างใหญ่หลวงในทุกภาคส่วนของสังคม ที่จะเกิดความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะบรรลุเป้าหมายของทิศทางนั้นๆ
หากคนทั้งชาติมีความมุ่งมั่นร่วมกัน ประเทศก็สามารถมีผลสัมฤทธิ์ใหญ่ๆ ที่จะทำให้ไทยออกจากสภาวะวิกฤติไปสู่ความเจริญอย่างแท้จริงได้
ถึงตรงนี้ขอกล่าวเชื่อมโยงไปถึง...ประเด็นใหญ่ “ประเทศไทย” คนไทยทั้งใหม่และเก่าต้องเข้าใจประเด็นใหญ่ประเทศไทย จึงจะสามารถร่วมกันออกจากสภาวะวิกฤติได้ ตัวอย่างประเด็นใหญ่ดังนี้...
...
การกระจายอำนาจไปสู่ชุมชนท้องถิ่น และองค์กรในพื้นที่ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล ให้สามารถจัดการกันเอง ถ้าไม่ทำในข้อนี้ทำอย่างไรๆก็ออกจากวิกฤติไม่ได้ แต่ถ้าทำปัญหาใหญ่ๆจะหมดเกือบหมด
ปรับบทบาทระบบราชการส่วนกลาง และสร้างหน่วยสัมฤทธิศาสตร์ จากการทำหน้าที่ควบคุมเป็นการสนับสนุนเชิงนโยบายและวิชาการ รวมทั้งจัดระบบให้สามารถทำงานอย่างบูรณาการเพื่อบริหารเชิงสัมฤทธิศาสตร์ให้เรื่องที่สำคัญๆประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำไปคนละทางสองทางเช่นทุกวันนี้
แล้ว...ทำอะไรไม่สำเร็จ และ...สร้างความเป็นธรรมลดความเหลื่อมล้ำให้ได้ การขาดความเป็นธรรมและมีความเหลื่อมล้ำสุดๆก่อให้เกิดปัญหาทุกชนิด ทั้ง...เศรษฐกิจ จิตใจ สังคม สุขภาพ สิ่งแวดล้อม ศีลธรรม การเมือง...ถ้าไม่สามารถสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำได้ ประเทศไม่หายวิกฤติ
ฐานของประเทศคือชุมชนท้องถิ่น ถ้าฐานแข็งแรงจะรองรับประเทศทั้งหมดให้มั่นคง พระเจดีย์สร้างจากยอดไม่ได้เพราะจะพังลงๆ...ที่แล้วมาเราพัฒนาประเทศประดุจสร้างพระเจดีย์จากยอด อะไรๆก็เอาแต่ข้างบน นักพัฒนาข้างบน...ทำเศรษฐกิจข้างบนให้ใหญ่ ผลคือ...ความเหลื่อมล้ำสุดๆ.