“ศรีวราห์” ลั่นพนักงานสอบสวนมีความเห็นแย้งพนักงานอัยการที่สั่งไม่ฟ้อง “เปรมชัย” คดีล่าสัตว์ ทุกข้อหาใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมงหลังได้มีการส่งสำนวน กลับมา แจงข้อหาพยายามล่าสัตว์ปืนเป็นของเจ้าสัวใหญ่ หากไม่ผิดฐานตัวการก็ต้องผิดฐานผู้สนับสนุน ส่วนความเสียหายทางระบบนิเวศ หากศาลตัดสินว่าผิดจะส่งผลต่อการเรียกค่าเสียหายทางแพ่งด้วย ขณะที่ฝ่ายอัยการจังหวัดกาญจนบุรีแจงยิบเหตุผลสั่งไม่ฟ้อง ด้านโฆษกกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แถลงยอมรับความเห็นสั่งคดีของพนักงานอัยการ เพราะสั่งฟ้องในข้อหาหลัก
หลังจากอธิบดีกรมอัยการภาค 7 และคณะแถลงผลการพิจารณาสั่งคดีนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) กับพวกรวม 4 คนเข้าไปล่าสัตว์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี สั่งฟ้องเจ้าสัวใหญ่ 6 ข้อหา สั่งไม่ฟ้อง 5 ข้อหา พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ยืนยันว่า หากความเห็นของพนักงานอัยการส่งกลับมาถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างเป็นทางการ พนักงานสอบสวนจะทำความเห็นแย้งทุกข้อหา ยกเว้นข้อหามีอาวุธปืนและข้อหาทารุณกรรมสัตว์ที่เคยสั่งไม่ฟ้องมาก่อนแล้ว
ความคืบหน้าการดำเนินคดีคณะพรานไฮโซล่าสัตว์ป่า เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 5 เม.ย. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า อำนาจในการฟ้องไม่ฟ้องเป็นอำนาจของพนักงานอัยการ ส่วนตำรวจมีความเห็นไปในแนวทางเดิม คือ มีความเห็นสั่งฟ้องทุกข้อหา ขณะนี้อัยการภาค 7 ยังไม่ได้ส่งหนังสือสอบถามมา หากมีหนังสือมาก็จะมีการเรียกชุดสอบสวนของ บช. ภ.7 มาประชุมหารือกัน การยื่นแย้งไม่มีกรอบระยะเวลาแต่ต้องอยู่ในอายุความ ถ้ามีหนังสือมาตำรวจใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมง ก็น่าจะดำเนินการเสร็จ ส่วนกรณีแย้งเราคงเห็นแย้งในทุกประเด็นที่สั่งไม่ฟ้อง เช่น ข้อหาพยายามล่าสัตว์ นายธานี ทุมมา เอาปืนใครไปล่า เป็นปืนของนายเปรมชัย ในความเห็นของตนถ้าไม่ผิดเรื่องตัวการก็เป็นความผิดฐานสนับสนุน มั่นใจมาตลอดว่าพยานหลักฐานเพียงพอต่อการฟ้อง ส่วนกรณีที่อัยการสั่งไม่ฟ้องถือเป็นดุลพินิจของท่าน
...
พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวด้วยว่า การเข้าไปในอุทยาน นายวิเชียรไม่มีสิทธิอนุญาต อำนาจอนุญาตเป็นของอุทยานเขตบ้านโป่ง หรือ ผอ.สำนักฯประเด็นนี้ทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์พืชยืนยันมา ประกอบกับกรณีนี้ทางรัฐเป็นผู้เสียหายจึงต้องยืนยัน ฟ้องไป กรณีที่อัยการเรียกค่าเสียหายทางเพ่งประมาณ 4 แสนกว่าบาท ตรงนี้เป็นในส่วนตัวเสือ แต่ยังมีในส่วนของระบบนิเวศ ให้ทางกรมอุทยานฯไปฟ้องเอง แม้ไม่มีบทกำหนดโทษ แต่ทางอาญาศาลชี้ว่าเป็นความผิด โอกาสเรียกค่าเสียหายของทางกรมอุทยานฯ ก็จะมีสูงขึ้นเยอะ การจะฟ้องคดีใดไม่ฟ้องคดีใดเป็นเรื่องของอัยการ แต่เราต้องทำความเห็นไปให้ดีที่สุด ส่วนสำนวนคดีงาช้างและสำนวนคดีรับสินบน ไม่มีความหวั่นใจ อัยการรับสำนวนไปตั้งแต่วันที่ 30 มี.ค. ต้องรอว่าอัยการจะว่าอย่างไร เรามั่นใจทุกสำนวน หากฟ้องไม่ได้ก็ไม่ส่งไปตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว กระบวนการยุติธรรมต้องไปสิ้นสุดที่ศาลผู้ชี้ขาด
ขณะเดียวกัน นายทนง ตะภา อัยการประจำจังหวัดกาญจนบุรี หนึ่งคณะพนักงานอัยการพิจารณาสั่งคดีดังกล่าว ชี้แจงเหตุผลสั่งไม่ฟ้องนายเปรมชัย 5 ข้อหาว่า ข้อหาที่ 1 ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ต้องหามีใบอนุญาตและพกพาเครื่องใช้กระสุน ข้อหาที่ 2 ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ข้อหาที่ 3 ร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือ สัตว์ป่าด้วยอาวุธ ทั้ง 2 ข้อหานี้ ไม่มีโทษ หัวหน้าหรือเจ้าหน้าที่สามารถให้ออกจากในพื้นที่ได้ ข้อหาที่ 4 ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่า ไม่พบว่าผู้ต้องหาถูกจับกุมขณะกำลังล่าสัตว์ป่า และข้อหาที่ 5 ร่วมกันกระทำการทารุณกรรมสัตว์ กฎหมายบังคับใช้เฉพาะสัตว์เลี้ยงทั่วไป ในส่วนของสัตว์ป่ามีกฎหมายคุ้มครองอยู่แล้ว
นายสมโภชน์ มณีรัตน์ โฆษกกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวถึงเรื่องเดียวกันว่า สำหรับ 6 ข้อหาที่อัยการสั่งฟ้องนายเปรมชัยถือเป็นคดีหลักที่มีความครอบคลุมในการทำความผิด ส่วนที่เหลือถือเป็นคดีประกอบ ศาลจะพิจารณาคดีหลักที่มีโทษสูงเป็นหลัก ถือว่ายอมรับได้ ส่วนค่าเสียหายทางคดีอาญาเกี่ยวกับเสือดำที่ถูกยิงตาย จำนวน 4.6 แสนบาท คงเป็นการคำนวณเฉพาะในส่วนของเสือดำ กรมอุทยานฯยังต้องดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งคู่ขนานไปกับในส่วนของคดีอาญา โดยคณะกรรมการพิจารณาคิดคำนวณค่าเสียหายทางแพ่ง กรมอุทยานฯจะมีการพิจารณาคิดวิเคราะห์ค่าเสียหายต่อระบบนิเวศประกอบเพื่อดำเนินการต่อไป