“ดำรง พุฒตาล-ต๊ะ-นารากร” 2 พิธีกรชื่อดัง เข้าแจ้งความดำเนินคดีผู้ว่าการ สตง.คนปัจจุบันและอดีตผู้ว่าการ สตง.คนเซ็นสัญญาก่อสร้างตึก สตง.ที่ถล่ม 2 ข้อหาฉกรรจ์ ทั้งกระทำการโดยประมาททำให้มีผู้เสียชีวิต และข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ฯ ติงหลังผ่านมากว่า 1 เดือนยังจับมือใครดมไม่ได้ ญาติผู้สูญหายแจ้งความเพิ่ม 4 คนไม่ได้อยู่ในรายชื่อผู้สูญหาย เป็นคนไทย 2 คนและเมียนมา 2 คน แถมพบศพ 1 ใน 2 ชาวเมียนมาที่จุดเกิดเหตุแล้ว แต่ตำรวจยังไม่ได้นับเพิ่มเข้าไปในผู้สูญหาย 103 คน เพราะยังไม่เป็นทางการ สรุปตัวเลขอย่างเป็นทางการล่าสุด เหลือผู้สูญหายต้องค้นหาอีก 20 คน ดีเอสไอตรวจหลักฐานเอกสาร 121 ลังที่ตรวจยึดมาจากไซต์งานครบแล้ว พิจารณาร่วมกับกรมโยธาฯใช้ในการสอบสวนตึก สตง.ถล่มได้เกือบทั้งหมด “อนุทิน” เผย กรมโยธาฯรายงานผลการสอบสวนเหตุตึก สตง.ถล่มมาเป็นระยะ แต่ยังฟันธงว่าใครผิดไม่ได้ โครงการใหญ่ต้องตรวจสอบทุกมิติ เผยระบบแจ้งเตือนภัยได้ทางการญี่ปุ่นมาช่วยเหลือ เชื่อใช้งานได้ดีไม่ต่างกับที่ญี่ปุ่น เปิดเต็มรูปแบบ ก.ค.นี้
กรณีการสืบสวนคลี่คลายคดีอาคารกำลังก่อสร้างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ถล่ม หลังเหตุแผ่นดินไหว ทำให้มีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหายจำนวนมาก หลังเกิดเหตุเมื่อวันที่ 28 มี.ค. การรื้อซากหาร่างผู้เสียชีวิตยังไม่เสร็จสิ้น ขณะที่การสืบสวนสาเหตุการถล่มโดย 2 หน่วยงานประกอบด้วย กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เร่งดำเนินการรวบรวมหลักฐานดำเนินการทุกความผิด
ความคืบหน้าจาก สน.บางซื่อ เวลา 09.30 น.วันที่ 2 พ.ค. นายดำรง พุฒตาล อายุ 80 ปี และ น.ส.นารากร หรือต๊ะ ติยายน อายุ 57 ปี สองพิธีกรชื่อดัง เข้าพบ ร.ต.อ.ทัตเทพ แก้วสมศรี รอง สว. (สอบสวน) สน.บางซื่อ เพื่อแจ้งความดำเนินคดีนายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการการตรวจเงินแผ่นดิน และนายประจักษ์ บุญยัง อดีตผู้ว่าการ การตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ลงนามสัญญาว่าจ้างก่อสร้างอาคารสำนักงาน สตง.ใหม่ที่ถล่ม ได้รับอนุมัติงบประมาณก่อสร้างจากคณะรัฐมนตรีปี 2563 ข้อหากระทำการโดยประมาททำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด จากเหตุการณ์อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) อยู่ระหว่างก่อสร้างบนถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร กทม. พังถล่ม จากแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค.
...
น.ส.นารากร ติยายน กล่าวว่า จากเหตุอาคาร สตง.พังถล่มลงมาหลังแผ่นดินไหว ขณะนั้นมีคนงานก่อสร้างทำงานอยู่จำนวนมาก ฐานะประชาชนมองว่าขณะนี้เวลาผ่านมา 35 วันแล้ว มีการค้นหาพบผู้เสียชีวิตและผู้ที่ยังสูญหายกว่าร้อยคน แม้อาคารจะพังถล่มลงมาหลังแผ่นดินไหว แต่ช่วงเวลาเดียวกันอาคารสูงหลายแห่งในพื้นที่ กทม. ที่กำลังก่อสร้างอยู่เช่นเดียวกันไม่มีอาคารใดพังถล่มลงมา ตั้งแต่เกิดเรื่องมาถึงวันนี้ไม่มีการออกมาอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีแต่การชี้แจงว่าแก้ไขแบบอย่างถูกต้องเท่านั้น รู้สึกคับข้องใจอย่างมากว่าการถล่มของอาคารมีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือไม่ หวั่นหากเวลาผ่านไปเนิ่นนานจะมีเพียงแต่วิศวกรที่ต้องถูกดำเนินคดี
“ส่วนนายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการการตรวจเงินแผ่นดินยังไม่เคยเอ่ยคำขอโทษ หรือแสดงความรับผิดชอบใดๆต่อการเสียชีวิตและสูญหายของคนร่วมร้อยชีวิต ทั้งๆที่ในตำแหน่งผู้ว่าการการตรวจเงินแผ่นดิน นายมณเฑียรสามารถบริหารจัดการและควบคุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการก่อสร้าง ให้ทำหน้าที่อย่างซื่อตรงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ เห็นได้ชัดว่ากระทำการโดยประมาททำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก รวมทั้งละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อันต้องกระทำ เพื่อป้องไม่ให้มีการทุจริตในกิจการทั้งปวงของ สตง. อาจมีการกระทำความผิดอาญาแผ่นดิน จึงมากล่าวโทษให้พนักงานสอบสวนพิจารณาดำเนินคดีนายมณเฑียรให้ถึงที่สุดตามพยานหลักฐาน” ต๊ะ-นารากรกล่าว
น.ส.นารากรกล่าวอีกว่า เหตุการณ์นี้สร้างความเสียหายใหญ่แก่ประเทศชาติและประชาชนชาวไทย ทั้งงบประมาณแผ่นดินจากภาษีประชาชน ทั้งความไม่ชอบมาพากลในการอนุมัติและควบคุมการก่อสร้าง มีข้อมูลว่ามีการแก้แบบก่อสร้างโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย มีการเผยแพร่ข่าวไปทั่วโลก ทำลายความเชื่อมั่นภาพลักษณ์เรื่องความปลอดภัยของไทยในสายตาชาวต่างชาติ สะท้อนจากคำพูดของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ที่พูดว่าเราจะตอบชาวโลกได้อย่างไร
ด้านนายดำรง พุฒตาล กล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ประชาชนเสียหายโดยตรงกว่า 2 พันล้านบาท ไม่ได้ทั้งตึก สตง.หลังใหม่และยังมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ในฐานะประชาชนคนหนึ่งอยากออกมาเรียกร้องและกระตุ้นให้มีผู้มารับผิดชอบความเสียหายครั้งนี้จากที่เห็นการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่มีแต่การสอบสวนบริษัทก่อสร้าง วิศวกร แต่ไม่เห็นการเรียกสอบผู้ว่าการ สตง. อีกทั้งหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบของชาติแต่ไม่ตรวจสอบการดำเนินงานก่อสร้างของตนเองหรืออย่างไร
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนรับคำร้องทุกข์ไว้ พร้อมสอบปากคำผู้เสียหายเพิ่มเติม ก่อนส่งเรื่องไปยังคณะทำงานตึก สตง.ถล่ม สน.บางซื่อ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ส่วนบรรยากาศบริเวณจุดเกิดเหตุอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ถล่ม ตั้งแต่ช่วงเช้า พนักงานสอบสวนคดีตึกถล่มหลายหน่วยงาน ประกอบด้วย กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรมโยธาธิการและผังเมือง เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) และพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ ร่วมกันลงพื้นที่เข้าเก็บพยานหลักฐาน ทั้งจากเสาปูน ปล่องลิฟต์ และผนังลิฟต์ จากการเจาะคอริงปูนและเหล็กเพื่อนำไปตรวจสอบ ส่วนเจ้าหน้าที่ ปภ.จะทำการรื้อถอนโซนใกล้เคียงควบคู่กันไปด้วย
เวลา 10.30 น. ที่กองอำนวยการร่วม ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์สำนักงานเขตจตุจักร นายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร (สปภ.กทม.) แถลงความคืบหน้าในปฏิบัติการค้นหาผู้สูญหายและการตรวจพิสูจน์ยืนยันตัวตนผู้เสียชีวิตว่า จากปฏิบัติการเปิดพื้นที่ในจุดบันไดหนีไฟโซนดี ที่คาดว่าเป็นพื้นที่มีผู้ประสบภัยอยู่กันเยอะ ตลอดทั้งวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมาพบร่างผู้เสียชีวิตและชิ้นส่วนอวัยวะมนุษย์ทั้งหมด 41 รายการ ในจำนวนนี้เป็นร่างผู้เสียชีวิตตามที่แพทย์ยืนยันเบื้องต้น 13 ร่าง และรายการชิ้นส่วนมนุษย์ขนาดใหญ่ที่แพทย์ยังไม่ยืนยันอีก 2 รายการที่เหลือเป็นชิ้นส่วนอวัยวะชิ้นเล็กๆ
...
นายสุริยชัยกล่าวต่อว่า ส่วนการเปิดพื้นที่ในโซนดี 2 ที่เชื่อมกับโซนซี และในส่วนทางเชื่อมอาคารสำนักงาน สตง.กับอาคานจอดรถ โซนซี ตอนนี้ยังลงไม่ถึงชั้นใต้ดินซึ่งมีความสูงจากพื้น 4 เมตร ส่วนทางเดินชั้น 3 ของซากอาคารอยู่ลึกลงไปใต้ชั้นผิวดิน 2-3 เมตร ทีมกู้ภัยยังลงไปไม่ถึง แต่วันนี้เราเพิ่มเครื่องจักรกลหนักและทีมงานกู้ภัยขุดรื้อสิ่งกีดขวางเพื่อให้เข้าไปถึงจุดนั้น เมื่อเข้าไปถึงคาดว่า น่าจะพบผู้ประสบภัยที่สูญหายหลายคน นอกจากนี้วันนี้จะเปิดพื้นที่โถงหน้าลิฟต์เพิ่มบริเวณโซนเอถึงดี หากเป็นไปตามแผนคืนนี้น่าจะพบร่างผู้ประสบภัยเพิ่มขึ้น
“จากแผ่นพื้นอาคารที่ยุบตัวลงไป การปฏิบัติการค้นหาขณะนี้อยู่บริเวณชั้น 4-5 ของอาคารสำนักงานเดิม ร่างผู้ประสบภัยที่พบทั้งหมดเมื่อวันที่ 1 พ.ค. เป็นร่างของพนักงานบริษัทเอสเอ คอนสตรัคชั่น 2008 จำกัด ตามฐานข้อมูลที่ได้รับว่า พนักงานกลุ่มนี้ทำงานอยู่บริเวณชั้น 3-4 ก่อนเกิดเหตุอาคารถล่ม ตรงตามที่ทีมผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ก่อนหน้านี้” นายสุริยชัยกล่าว
ผอ.สปภ.กทม.ยืนยันว่า จำนวนผู้ประสบภัยตอนนี้ ยังยืนตามจำนวนที่พนักงานตำรวจสอบสวนเสร็จแล้วว่ามี 103 คน สุดท้ายแล้วแม้หาผู้ประสบภัยจนครบ 103 คนแล้ว เราจะดำเนินการเปิดพื้นที่ซากอาคาร สตง.ทั้งหมดเพื่อความละเอียด เผื่อว่า อาจมีผู้ที่ยังติดค้างหรือตกค้างจากแจ้งยอดผู้ประสบภัยก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยซากอาคาร สตง.จะเสร็จภายในเดือน พ.ค.นี้แน่นอน หลังจากนั้นจะประกาศคืนพื้นที่ให้โครงการก่อสร้างและผู้ประกอบการโดยรอบต่อไป
“ตอนนี้จะยังไม่มีการปรับยอดผู้ประสบภัยเพิ่ม จนกว่าจะได้รับการยืนยันข้อมูลอย่างเป็นทางการจากพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ ผู้รับผิดชอบในการสอบสวนหาจำนวนผู้ประสบภัยที่ถูกต้อง” นายสุริยชัยระบุ ส่วนการสนับสนุนทีมพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และทีมวิศวกรกรมโยธาธิการและผังเมืองในการเก็บหลักฐานโครงสร้างอาคารชั้นใต้ดิน ผอ.สปภ.กทม.กล่าวว่า เรื่องนี้ฝ่ายปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยกันพื้นที่ให้ทีมพนักงานสอบสวนเข้าไปเก็บหลักฐานได้สะดวกแล้ว แต่ไม่ทราบว่าเก็บหลักฐานอะไรไปได้มากน้อยแค่ไหน
...
เวลา 11.30 น. สถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจ รายงานผลการปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล ผู้เสียชีวิตและสูญหายกรณีอาคาร สตง.ถล่มว่า ถึงเวลา 17.00 น. วันที่ 1 พ.ค. สถาบันนิติเวชวิทยารับร่างผู้เสียชีวิตและชิ้นส่วนอวัยวะมนุษย์เข้าระบบการตรวจพิสูจน์ เป็นร่างผู้เสียชีวิตสมบูรณ์ 68 ศพ เป็นชิ้นส่วนอวัยวะ 237 ชิ้น ตรวจพิสูจน์ยืนยันข้อมูลแล้ว 74 ศพ ในจำนวนนี้เป็นร่างสมบูรณ์ 68 ศพ และเป็นชิ้นส่วนอวัยวะที่ตรวจพิสูจน์แล้วตรงกันเป็นผู้เสียชีวิต 6 คน ส่วนการเก็บข้อมูลดีเอ็นเอจากญาติเพื่อยืนยันอัตลักษณ์บุคคลจัดเก็บแล้ว 99 คน เปรียบเทียบพิสูจน์ยืนยันอัตลักษณ์ผู้เสียชีวิตได้ 58 คน มอบร่างให้ญาติรับไปบำเพ็ญกุศลแล้ว 43 คน อยู่ระหว่างติดตามอีก 20 คน
ด้าน พ.ต.อ.สนอง แสงมณี ผกก.สน.บางซื่อ เผยว่า ตอนนี้มีผู้มาแจ้งความว่า มีผู้สูญหายจากเหตุตึก สตง.ถล่ม เพิ่มเติมอีก 4 คน สัญชาติไทย 2 คน และสัญชาติเมียนมา 2 คน อยู่ระหว่างการสอบสวนว่า เป็นบุคคลสูญหายในเหตุการณ์ตึก สตง.ถล่มจริงหรือไม่ ต่อมาได้รับการยืนยันเบื้องต้นว่า พบศพชาวเมียนมา 1 ใน 4 คนที่แจ้งความไว้อย่างไรก็ตามต้องสรุปผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค ฐานะโฆษกดีเอสไอ เผยความคืบหน้าการตรวจสอบเอกสารที่ยึดมาจากไซต์งานก่อสร้างตึก สตง.จำนวน 121 ลังว่า เมื่อวันที่ 1 พ.ค. ดีเอสไอร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมืองมาช่วยตรวจเอกสารครบทุกลังแล้ว คัดกรองแล้วจะนำไปใช้ในสำนวนคดีเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ เอกสารจะแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ 1.เอกสารกิจการร่วมค้าที่ทำหน้าที่ก่อสร้าง การสั่งซื้ออุปกรณ์วัสดุ และการดำเนินการก่อสร้าง 2.เป็นเรื่องของผู้ควบคุมงาน การเสนอแก้ไขแบบ และ 3.เอกสารของ สตง.เจ้าของสถานที่ทั้งหมด คือกระบวนการก่อสร้าง เริ่มตั้งแต่การออกแบบ แก้แบบ การซื้อวัสดุ และการดำเนินการก่อสร้างว่ามีขั้นตอนเป็นมาอย่างไร ส่วนกระบวนการหลังจากนี้ ดีเอสไอจะมาดูรายละเอียดเอกสาร เรียกเจ้าของเอกสารเข้ามาชี้แจง รวมทั้งพิจารณาเชิญพยานบุคคลที่อยู่ในวันที่เกิดเหตุมาสอบปากคำเพิ่มเติมด้วย เพื่อสนับสนุนหลักฐานที่มีอยู่
...
“การดำเนินการตอนนี้ยังไม่เปลี่ยนเป้าหมาย ยังคงมุ่งเน้นไปที่การทำงานร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมือง พฐ. สมอ. และพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ เข้าไปเก็บพยานหลักฐานทุกประเภทเพื่อสนับสนุนข้อมูลกัน ปูน คอนกรีต และเหล็กถือว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในโครงการก่อสร้าง เพื่อหาข้อสรุปว่า ที่ตึก สตง.ถล่มเป็นเพราะวัสดุอุปกรณ์ไม่ได้มาตรฐานหรือความผิดพลาดเรื่องการออกแบบก่อสร้าง ตอนนี้ดีเอสไอประสานไปยังกรมโยธาฯว่า ถ้าหากเจอปล่องลิฟต์อย่าเพิ่งดำเนินการรื้อถอน เพราะต้องเข้าไปเก็บพยานหลักฐานตรงจุดนั้น ถือว่ามีรายละเอียดเยอะกว่าจุดอื่น ส่วนการสอบปากคำวิศวกรถือว่าคืบหน้าไปมาก วันนี้นัดหมายวิศวกร 10 คน เข้ามาสอบปากคำเป็นวันสุดท้าย ส่วนวิศวกรที่ถูกปลอมแปลงลายเซ็นจะมีกรอบระยะเวลาตรวจสอบใช้เวลาไม่เกิน 30 วัน อย่างไรก็ตามกองคดีคุ้มครองผู้บริโภคจะเข้าไปขอความเห็นจากกรมโรงงานเกี่ยวกับประเด็นเรื่องฝุ่นแดงว่า เชื่อมโยงกับเหล็กที่ใช้ในการก่อสร้างตึก สตง.หรือไม่ อยู่ระหว่างสืบสวนประเด็นดังกล่าว” โฆษกดีเอสไอกล่าว
ต่อมาคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเผยว่า ส่วนการนัดหมายสอบปากคำพยานวิศวกรภายใต้กิจการร่วมค้า PKW จำนวน 10 คน วันนี้ถือว่าเป็นลอตสุดท้าย แบ่งเป็นรอบเช้า 5 คนและรอบบ่าย 5 คน แต่ปรากฏว่ารอบเช้ามีวิศวกรที่เลื่อนนัดหมายจากวันอื่นเข้าพบพนักงานสอบสวนด้วย ทำให้รอบเช้ามาให้ปากคำรวม 6 คน ทั้งหมดให้การปฏิเสธว่าไม่ใช่ลายเซ็นของตน ขณะที่รอบบ่าย 5 คนให้การยอมรับว่า เซ็นชื่อคุมงานจริง 2 คนและให้การว่าถูกปลอมลายเซ็น 3 คน ดังนั้นจากหมายเรียกทั้งหมด 40 คน เข้าพบพนักงานสอบสวนแล้ว 37 คน และมีวิศวกร 2 คนเข้าพบพนักงานสอบสวนก่อนมีหมายเรียกคือ นายสมเกียรติ ชูแสงสุข และนายชัยฤทธิ์ (สงวนนามสกุล) ฉะนั้น จากรายชื่อวิศวกร 51 คนเข้าพบพนักงานสอบสวนแล้ว 39 คน เหลืออีก 12 คนจะมาสัปดาห์หน้า นอกจากนี้ยังมีนายสมชาย ทรัพย์เย็น วิศวกรผู้จัดการโครงการ ปรากฏชื่อแก้แบบก่อสร้างอาคารเข้าพบพนักงานสอบสวนเมื่อช่วงบ่าย อยู่ระหว่างการสอบสวน
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่