ศาลแพ่งตัดสินคดีพ่อแม่หมอกระต่ายฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก ตำรวจ อคฝ. ที่ขี่บิ๊กไบค์ชนหมอกระต่ายจนเสียชีวิตบนทางม้าลาย เห็นว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ต้องรับผิดผลแห่งการกระทำของลูกน้อง แต่ให้ ส.ต.ต.นรวิชญ์รับผิดต่อโจทก์เป็นการเฉพาะตัว สั่งจ่ายค่าขาดอุปการะแก่โจทก์ทั้ง 2 คน คนละ 13,500,000 บาท และค่าจัดการศพ 331,230 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 27.3 ล้านบาท
ศาลแพ่งตัดสินคดี ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก ตำรวจ ควบคุมฝูงชน ขี่รถ จยย.ด้วยความเร็วเกินกฎหมายกำหนด ชน พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือหมอ กระต่าย เสียชีวิต ขณะข้ามทางม้าลายหน้าโรงพยาบาลสถาบันโรคไตภูมิราชนครินท์ ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลแพ่ง เมื่อวันที่ 26 มี.ค. ว่า เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 25 มี.ค. ศาลแพ่งมีคำพิพากษาคดี นพ.อนิรุทธ์ สุภวัตรจริยากุล และนางรัชนี สุภวัตรจริยากุล พ่อแม่หมอกระต่าย เป็นโจทก์ ฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก ตำรวจควบคุม ฝูงชน เป็นจำเลยที่ 1 และ 2 ให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทน 72 ล้านบาท
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 และ 2 เป็นบิดามารดา พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล ผู้ตาย จำเลยที่ 2 เป็น ตำรวจตำแหน่ง ผบ.หมู่ กก. 1 บก.อคฝ. เมื่อวันที่ 21 ม.ค.2565 เวลา 15.00-16.00 น. จำเลยที่ 2 ขณะ ปฏิบัติหน้าที่รับเอกสารราชการไปส่งแก่เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานในสังกัดจำเลยที่ 1 ขี่รถ จยย. จาก บช.น. ด้วยความเร็วประมาณ 108-128 กม.ต่อ ชม. แซงขึ้นหน้ารถคันอื่นระยะไม่ถึง 30 เมตร ชนผู้ตาย ขณะเดินข้ามทางม้าลายหน้าโรงพยาบาลสถาบันโรคไตภูมิราชนครินท์ เขตราชเทวี และไม่ให้การช่วยเหลือ เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายหลังเกิดเหตุประมาณ 30-60 นาที
จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ควบคุมดูแลกำกับการปฏิบัติงานและธำรงวินัยข้าราชการตำรวจ ปล่อยปละ ละเลยให้จำเลยที่ 2 ใช้รถ จยย.ผิดกฎหมาย ปฏิบัติงาน ขี่ฝ่าฝืนกฎหมาย และไม่จัดให้จำเลยที่ 2 เข้ารับการ ฝึกอบรมขับขี่รถอย่างปลอดภัย จำเลยที่ 1 ฐานะเจ้าพนักงานจราจรปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยบนท้องถนน ละเลย ไม่จัดทำมาตรการต่างๆเพื่อป้องกัน อุบัติเหตุตรงทางม้าลาย เป็นผลโดยตรงให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย พวกจำเลยต้องชดใช้ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการจัดการศพเป็นเงิน 539,493 บาท กับค่าขาดไร้อุปการะ 72,266,301 บาท
...
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติกำหนดให้จำเลยที่ 1 แบ่งส่วนราชการออกเป็นส่วนต่างๆ ดังนั้น หน้าที่ของจำเลยที่ 1 เป็นเพียงหน้าที่ทั่วไปที่จะควบคุม กำกับดูแล บังคับบัญชาส่วนราชการและข้าราชการตำรวจในสังกัดจำเลยที่ 1 ให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง และนโยบายในภาพรวม มีผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นควบคุม กำกับดูแล บังคับบัญชาให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติตนธำรงไว้ซึ่งวินัยข้าราชการ
การที่จำเลยที่ 2 ไม่ประพฤติตนธำรงวินัยข้าราชการตำรวจ ใช้รถ จยย.ผิดกฎหมาย ไม่ติดแผ่น ป้ายทะเบียน ไม่มีประกันภัยตาม พ.ร.บ. ไม่เสียภาษี ประจำปี ไม่ติดกระจกมองข้าง และขี่รถฝ่าฝืนกฎจราจร ผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 2 ตั้งคณะกรรมการดำเนินการทางวินัยและพนักงานสอบสวนดำเนินคดีอาญาจำเลยที่ 2 พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาเพิ่มเติมว่า ขี่รถ จยย.ไม่ชิดขอบทางด้านซ้าย ไม่หยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย นำรถ จยย.ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน มาใช้ในทาง นำรถที่ยังไม่ได้เสียภาษีประจำปีมาใช้ นำรถ จยย.ที่ไม่มีประกัน พ.ร.บ.มาใช้ในทาง ใช้รถ ที่ไม่มีกระจกมองข้าง ขี่รถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย และขี่รถในทางเดินรถในเขตกรุงเทพมหานคร โดยใช้ ความเร็วเกินกว่าที่กฎหมาย
พนักงานอัยการยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลอาญา พิพากษาลงโทษจำคุก ริบรถ จยย.ของกลาง เมื่อพฤติกรรมการขับขี่และใช้รถ จยย.ฝ่าฝืนกฎหมายเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยที่ 2 ขาดความสำนึกรู้ผิดชอบ ทั้งที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาวินัยจราจรและปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด ควบคุม เสริมสร้างความประพฤติและวินัยข้าราชการตำรวจ
ศาลเห็นว่าจำเลยที่ 1 ฐานะเจ้าพนักงานจราจรมีหน้าที่ดูแลการจราจร รักษาความปลอดภัยบนท้องถนนให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง และนโยบาย เป็นหน้าที่โดยทั่วไป หาใช่เป็นหน้าที่ และความรับผิดชอบโดยเฉพาะของจำเลยที่ 1 เพียงหน่วยงานเดียว เมื่อเหตุคดีเกิดจากจำเลยที่ 2 กระทำละเมิดขี่รถชนผู้ตาย เป็นนิติเหตุอันเป็นความรับผิด เฉพาะตัวของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ไม่อาจให้สัตยาบันรับเอาผลการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 ได้ ดังนั้นจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดในผลแห่งการกระทำของจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ทั้งสอง ดังนั้น เหตุคดีนี้เกิดจาก การกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 โดยลำพังเพียงคนเดียว จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองเป็นการเฉพาะตัวที่ให้ผู้กระทำละเมิด ศาลจะต้องพิเคราะห์ถึงค่าปลงศพและค่าใช้จ่าย ตามจารีตประเพณีตามความจำเป็นและเหมาะสม ตลอดจนฐานานุรูปของผู้ตาย และโจทก์บิดามารดาสมควร ให้ชดใช้ค่าปลงศพ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 331,230 บาท
สำหรับค่าขาดไร้อุปการะเห็นว่า ตามกฎหมายแพ่งและพานิชย์ (ป.พ.พ.) การกำหนดค่าสินไหมตามฐานานุรูปของผู้ตายและโจทก์ ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดู ตลอดจนรายได้ของผู้ตาย และระยะเวลาการให้ความอุปการะเลี้ยงดูหากผู้ตาย มีชีวิตอยู่ ขณะเกิดเหตุโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 มีอายุ 64 ปีเท่ากัน มีโอกาสได้รับการอุปการะไม่น้อยกว่า 15 ปี ผู้ตายอายุ 33 ปี ประกอบวิชาชีพจักษุแพทย์ เป็นแพทย์เฉพาะทาง 2 สาขา ตำแหน่งนายแพทย์ โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย.2564 ได้รับค่าจ้างเดือนละ 21,000 บาท และเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษของผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข (พ.ต.ส.) เดือนละ 10,000 บาท รวมเป็นเงิน 31,000 บาท หากอยู่เวรนอกเวลาจะได้ค่าตอบแทนครั้งละ 1,200 บาท และมีโอกาส เลื่อนเงินเดือนสูงขึ้นตามลำดับ
นอกจากนั้น ผู้ตายทำงานนอกเวลาโรงพยาบาลเอกชนอีก 3 แห่ง มีรายได้เฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 1,800,000- 2,400,000 บาท เมื่อมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ มากขึ้นจะได้ค่าตอบแทนมากขึ้น 3-5 เท่า สอดรับกับ คำเบิกความของ น.พ.อดิศัย วราดิศัย จักษุแพทย์ด้าน จอประสาทตา ว่า หากแพทย์มีอายุการทำงานมากขึ้น มีชื่อเสียงทำงานหลายแห่ง จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเดือนละ 300,000-500,000 บาท หรือมากกว่านั้น จำเลยทั้งสองไม่มีพยานหลักฐานหักล้างเป็นอย่างอื่น ดังนั้นหากผู้ตายมีชีวิตอยู่จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้นตามประสบ การณ์และอายุการทำงาน เมื่อคำนึงถึงโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญ แม้มีรายได้จากเงินเดือนแต่อยู่ในวัยชรา มีปัญหาสุขภาพ ศาลกำหนดให้ใช้ค่า สินไหมทดแทนเพื่อละเมิดคนละ 13,500,000 บาท
ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าจัดการศพ 331,230 บาท และให้ใช้ค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ที่ 1-2 คนละ 13,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตาม กฎหมาย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 27.3 ล้านบาท
...
มีรายงานว่า หลังมีคำพิพากษาศาลออกคำบังคับ ให้โจทก์ ซึ่งโจทก์ต้องไปขอหมายบังคับคดีและสืบทรัพย์ เพื่อยึดอายัด บังคับตามคำพิพากษา หรือโจทก์กับ จำเลยอาจอุทธรณ์ในประเด็นอื่นๆก็อาจเป็นได้
ส่วนคดีอาญา อัยการและพ่อแม่หมอกระต่ายร่วมเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก ต่อศาล อาญา มีคำพิพากษาวันที่ 25 เม.ย.65 ว่า กระทำโดย ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและผิดตาม พ.ร.บ.จราจร ลงโทษจำคุก 1 ปี 15 วัน ไม่รอลงอาญา อัยการและพ่อแม่หมอกระต่ายยื่นอุทธรณ์ ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 ม.ค.67 ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยไม่ได้สัดส่วนกับความร้ายแรงและพฤติการณ์ของจำเลย สมควรลงโทษ สถานหนักเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ทำให้สังคมสงบปลอดภัย ให้คนมั่นใจในการข้ามถนนบริเวณทาง ม้าลาย ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกเป็นเวลา 1 ปี 15 วัน ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำคุก 10 ปี 2 เดือน
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่