เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว “ประเทศไทย” มักต้องเผชิญปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นทุกปี “ส่งผลเสียต่อสุขภาพ” ปล่อยยืดเยื้อไว้นานยิ่งทำลายเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวเสียหายมหาศาล
โดยเฉพาะในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคเหนือ ภาคอีสาน ที่มักปรากฏค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานเป็นอันตรายสูงขึ้นเรื่อยๆ “ทำลายสถิติสูงสุดในรอบ 5 ปี” สาเหตุการเกิดมลพิษทางอากาศรุนแรงนี้ เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผอ.มูลนิธิบูรณะนิเวศ บอกว่า ฝุ่น PM2.5 เป็นปัญหาประจำปีของประเทศไทยยืดเยื้อมายาวนานหลายปี
หากย้อนดูราว 5 ปีก่อน “ฝุ่น PM2.5” เริ่มเป็นปัญหาในกรุงเทพฯ “กรมควบคุมมลพิษ” ได้จัดทำการศึกษาแหล่งกำเนิด และแนวทางการจัดการฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เผยแพร่เดือน ส.ค.2561 ระบุในช่วงหลายปีมานี้ “ระดับฝุ่น PM2.5 เฉลี่ยทั้งปี” มีค่าสูงเกินกว่ามาตรฐานในฤดูแล้งระหว่างเดือน ม.ค.-มี.ค.
ตามผลการตรวจวัด 7 สถานีนั้นค่าเฉลี่ยรายปีเกินค่ามาตรฐาน 25 มคก./ลบ.ม.อยู่ 2 สถานี และค่าเฉลี่ย 24 ชม.เกินค่ามาตรฐาน 50 มคก./ลบ.ม. 40-50 วัน/ปี กลายเป็นข้อวิตกกังวลจะส่งผลต่อสุขภาพประชาชน และกระทบภาพลักษณ์ของกรุงเทพฯ ในฐานะศูนย์กลางการท่องเที่ยว และเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
...
แม้แต่ “กรมควบคุมโรค” ยังออก พ.ร.บ.ควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพ และโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2562 กำหนดให้โรคเกิดจากฝุ่น PM2.5 เป็น 1 ใน 5 ที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม พร้อมร่างคำประกาศพื้นที่เฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคสูงสุด “เก็บข้อมูลพื้นที่เฝ้าระวัง และดูแลสุขภาพ” แต่ก็ยังเป็นมาตรการตั้งรับแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
ในขณะที่ “แหล่งกำเนิดฝุ่น PM2.5” กลับถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นพูดกันน้อยเฉพาะ 3-4 ประเภท ไม่ว่าจะเป็นไอเสียรถยนต์ดีเซล การเผาชีวมวล หมอกควันข้ามพรมแดน และฝุ่นทุติยภูมิจากปฏิกิริยารวมตัวกันของไอเสียรถ หรือแอมโมเนียจากปุ๋ยในเกษตรกรรม ทำให้ปัญหามักได้รับการแก้ไขแบบเฉพาะหน้ามาตลอด
แล้วผลการศึกษาฉบับนี้ “เป็นข้อมูลการรับรู้ทางการเท่าที่มีอยู่” ถูกใช้อ้างอิงกันอย่างแพร่หลายจนคนเข้าใจกันว่า “แหล่งกำเนิดหลักมี 3-4 แหล่ง” ทำให้ไม่ได้เน้นให้ความสำคัญการศึกษาหาข้อเท็จจริง “จากการปลดปล่อยฝุ่น PM2.5 ในภาคอุตสาหกรรม” ส่งผลให้ไม่ได้พุ่งเป้าแก้ปัญหาอย่างจริงจังจากแหล่งกำเนิดประเภทนี้
ทว่าหากดูในการศึกษาปี 2564 “มูลนิธิบูรณะนิเวศ” ได้จัดโครงการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมพื้นที่ จ.สมุทรสาคร เพื่อสุขภาวะองค์รวมหรือโครงการสมุทรสาครสีเขียวในการศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และ PM10 เพราะ จ.สมุทรสาครเป็นเขตรองรับอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวของโรงงานทุกขนาดใกล้กรุงเทพฯ
ผลปรากฏว่า “โรงงานอุตสาหกรรมเป็นแหล่งก่อเกิดฝุ่นละอองทั้ง 2 ประเภทมากที่สุด” กล่าวคือ ภาคอุตสาหกรรมทำให้เกิดฝุ่น PM10 สูง 70,633 ตัน/ปี และฝุ่น PM2.5 สูงถึง 44,228 ตัน/ปี แต่เมื่อเปรียบเทียบกับภาคการจราจร และการขนส่งปล่อยฝุ่น PM10 อยู่ที่ 203 ตัน/ปี และฝุ่น PM2.5 จำนวน 197 ตัน/ปี
สำหรับการเผาขยะปล่อย PM10 อยู่ที่ 150 ตัน/ปี และ PM2.5 สูงสุดที่ 49 ตัน/ปี ในส่วนแหล่งกำเนิดปล่อยน้อยที่สุด คือ “เผาในที่โล่ง” อันมีอัตรา PM10 เท่ากับ 1 ตัน/ปี และปล่อย PM2.5 เท่ากับ 0.94 ตัน/ปี
เมื่อพิจารณาพื้นที่รวมทั้งจังหวัดจะเห็นได้ว่า “ภาคอุตสาหกรรมเป็นแหล่งกำเนิดหลักของการปลดปล่อยฝุ่นละอองขนาดเล็ก” โดยพื้นที่วิกฤติที่มีการปลดปล่อยสูงสุดคือ “อ.เมืองสมุทรสาคร” ดังนั้นถ้าไม่มีการควบคุมแหล่งกำเนิดให้ครบถ้วนอย่างจริงจังแล้วจะทำให้มลพิษทางอากาศมีระดับรุนแรงยิ่งขึ้นเร็วๆนี้แน่นอน
ตอกย้ำด้วย “ภาคการผลิตในอุตสาหกรรม” ส่วนใหญ่ใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิลเพื่อผลิตพลังงานในโรงงานไม่ว่าจะเป็นเชื้อเพลิงของแข็ง ถ่านหิน ถ่านโค้ก ฝืน ขยะ “อันเป็นแหล่งกำเนิดฝุ่นที่สำคัญ” นอกจากนี้ยังมีเชื้อเพลิงของเหลว น้ำมันเตา น้ำมันดีเซล และเชื้อเพลิงที่อยู่ในรูปก๊าซ เช่น ก๊าซธรรมชาติ และก๊าซแอลพีจี
แล้วเชื้อเพลิงเหล่านี้ “มีสารไฮโดรคาร์บอนเป็นองค์ประกอบ” แถมมีธาตุชนิดอื่นรวมอยู่อย่างไนโตรเจน ออกซิเจน กำมะถัน และยิ่งระยะหลังนี้มีการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลในระบบการผลิตอุตสาหกรรมสูงขึ้น “ส่งผลให้การเผาไหม้เชื้อเพลิงเกือบทุกชนิดไม่สมบูรณ์” กลายเป็นสาเหตุให้เกิดสารมลพิษทางอากาศร้ายแรงหลายชนิด
เนื่องจากการผลิตพลังงานความร้อน “ในโรงงานอุตสาหกรรม” จำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงจำนวนมาก สารมลพิษที่เกิดขึ้นจึงมีปริมาณมากหลากหลายชนิด และถูกปล่อยออกมากระจายบนชั้นบรรยากาศในโรงงาน และฟุ้งกระจายออกมานอกโรงงานสู่พื้นที่สาธารณะลอยแขวนอยู่ในอากาศส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้างตามมา
...
“สิ่งนี้ทำให้เห็นว่ามลพิษทางอากาศจากอุตสาหกรรมเป็นปัญหาที่ร้ายแรงอย่างสูง และค่อนข้างมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน โดยพื้นฐานที่สุดแล้วยังมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องโดยตรงไม่เพียงพอ ทำให้การเข้าถึงเข้าใจปัญหามลพิษอากาศจากแหล่งอุตสาหกรรมของคนในสังคมบกพร่อง และถูกบิดเบือนได้ง่ายอยู่ทุกวันนี้” เพ็ญโฉม ว่า
แน่นอนว่า “การปล่อยปัญหาฝุ่นพิษเรื้อรังไม่แก้ไขนี้” มักส่งผลต่อสุขภาพจากการสูดดมเข้าสู่ปอดสะสมเป็นสารก่อให้เกิดโรคมะเร็ง หรือหลอดลมอักเสบได้ ถ้าหากฝุ่นพิษนี้ “ก่อเป็นทุติยภูมิ” ก็จะทำปฏิกิริยาทางเคมีในชั้นบรรยากาศเปลี่ยนแปลงเป็นสารก่อตัวกัน และสามารถสร้างก๊าซโอโซนอันเป็นพิษภัยที่แรงขึ้นได้
ผลตามมาหากปรากฏ “จำนวนผู้ป่วยมากขึ้น” ย่อมก่อให้เกิดต้นทุน และสูญเสียโอกาสในด้านอื่นอย่างมหาศาล เช่นเดียวกันในแง่ผลกระทบ “ด้านเศรฐกิจ” ตั้งแต่ปี 2562-2566 “รัฐบาลไม่อาจรับมือกับปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้เลย” แถมเพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศโดยตรง
...
เรื่องนี้สะท้อนถึง “รัฐบาลไร้เสถียรภาพการรับมือหรือไม่” อันจะเป็นการดิสเครดิตมีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนชาวต่างชาติที่จะเข้ามาในประเทศ “กระทบการท่องเที่ยวไทย” โดยเฉพาะภาคเหนือ เช่น จ.เชียงใหม่ ต้องเผชิญฝุ่นพิษติดอันดับ 1 ของโลก จนสูญเสียรายได้จากภาคการท่องเที่ยวปีละหลายล้านบาทด้วยซ้ำ
ในส่วน รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สภาวิจัยแห่งชาติ ให้ข้อมูลว่า ปัญหามลพิษทางอากาศในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคเหนือรุนแรงขึ้นมากจนมีผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจสูง
ไม่เท่านั้นยัง “กระทบด้านเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว” จากงานการศึกษาวิจัยในช่วงเกิดมลพิษทางอากาศรุนแรง “เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลระยะ 2 เดือน” ทำให้เกิดต้นทุน ค่าเสียโอกาสจากสุขภาพ สร้างความเสียหายไม่ต่ำกว่า 3,100 ล้านบาท การรักษาผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ ระบบทางเดินหายใจ 1,200 ล้านบาท
ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายในการป้องกันมลพิษ และการสวมใส่หน้ากากอนามัย 400-1,900 ล้านบาท ส่วนใหญ่คนจนในกรุงเทพฯ และผู้ทำงานกลางแจ้งในพื้นที่มีมลพิษเข้มข้น มักได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะคนกลุ่มนี้จำนวนหนึ่งไม่มีเครื่องป้องกันผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ ทำให้มีสุขภาพย่ำแย่ลง
...
ในส่วนค่าเสียโอกาสด้านการท่องเที่ยวพื้นที่กรุงเทพฯ 1,000-3,500 ล้านบาท ดังนั้นหากปล่อยปัญหายืดเยื้อเกิน 2 เดือน “เศรษฐกิจไทยจะเสียหายไม่ต่ำกว่า 5,500-6,000 ล้านบาท” จากการชะลอตัวภาคการท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ และปริมณฑล การชะลอตัวกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลางแจ้ง ค่าใช้จ่ายสาธารณสุขเพิ่มขึ้น
ถ้าดูตามรายงานวิเคราะห์ขององค์กรกรีนพีซเฉพาะประเด็น “ฝุ่น PM2.5” เป็นปัญหา กำลังส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกในปี ค.ศ.2018 ประมาณ 4.5 ล้านคน เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า “มลพิษทางอากาศ” ก่อให้เกิดต้นทุนทางเศรษฐกิจราว 2.9 ล้านล้านดอลลาร์ (คิดคำนวณเป็น 3.3% ของจีดีพีโลกในปี)
อย่างเช่นกรณี “ประเทศจีน” ที่มีผลกระทบต้นทุนทางเศรษฐกิจสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 6.6% จีดีพีของประเทศ รองลงมาคือ “ประเทศอินเดีย” มีต้นทุนทางเศรษฐกิจของมลพิษทางอากาศอยู่ที่ 5.4% ของจีดีพีประเทศ
ฉะนั้นมลพิษทางอากาศเป็น “ปัญหากระทบต่อชีวิต” จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของทุกคน และบางกรณีก็ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศข้ามพรมแดนจึงจะสามารถแก้ปัญหาได้ยั่งยืน.
คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม