นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงนโยบายส่งเสริมการมีบุตร ว่า รัฐบาลทำงานเรื่องนี้ผ่านคณะกรรมการอนามัยเจริญพันธุ์แห่งชาติ มีหลายกระทรวงเข้ามาดำเนินการ และตั้งคณะอนุกรรมการกำหนดทั้งกฎหมาย นโยบายต่างๆ ซึ่งตนพยายามบอกคณะกรรมการฯว่าสิ่งไหนที่เป็นข้อเสนอเชิงนโยบายใหญ่ๆ ช่วงเลือกตั้งก็ให้ไปนำเสนอพรรคการเมือง เพื่อให้พรรคการเมืองออกนโยบายพรรคที่จะขับเคลื่อนเป็นรูปธรรม เช่น บางพรรคอาจเสนอการตั้งครรภ์ได้เงิน หรือเบบี้โบนัส ซึ่งจะทำให้ประชาชนและสังคมเข้าใจปัญหามากขึ้น เรามีการประเมินการดำเนินการตลอด แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องค่านิยมไม่สามารถเปลี่ยนได้ทันที รัฐต้องเพิ่มการเข้าถึงการวางแผนครอบครัวที่รัฐจ่ายให้ หรือเข้าถึงสิทธิที่เบิกจ่ายได้ คณะกรรมการฯมีการทำ แต่การผูกมัดจำนวนเงินมากๆก็ต้องเป็นนโยบายที่พรรคการเมืองและรัฐบาลต้องดำเนินการ
นายสาธิตกล่าวด้วยว่า ส่วนกลุ่มสามีภรรยาที่ไม่อยากมีลูกนั้น เป็นหนึ่งในปัญหาที่คณะกรรมการฯ พยายามหารือเช่นกัน ข้อเสนอด้านหนึ่งของตนคือ พยายามนำอินฟลูเอนเซอร์ที่มีความสุขกับการมีลูก และรีวิวให้เห็นว่าการมีลูกมีความสุขแบบไหนอย่างไร เป็นการให้ข้อมูลในเชิงการสร้างสรรค์ ค่อยๆ เปลี่ยนค่านิยมไปเรื่อยๆ รวมทั้งเรากำลังคิดว่าคนรุ่นใหม่จะคำนวณการมีลูกในเชิงเศรษฐกิจ ดังนั้นการช่วยเหลือในด้านเศรษฐกิจ ทางคณะอนุกรรมการพยายามดำเนินการเรื่องนี้เพื่อคำนวณและช่วยตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
นพ.โอฬาริก มุสิกวงศ์ สูตินรีแพทย์ และโฆษกประจำตัว รมช.สธ. กล่าวว่า การส่งเสริมการมีคู่ เป็นเรื่องที่รัฐบาลและกรมอนามัยดำเนินการมา 3 ปีแล้ว มีการจัดกิจกรรมมาโดยตลอด เช่น เปิดเวทีให้คนโสดมาเจอกัน มีรายการโสดสมาร์ท โสดมีตติ้ง และโสดออนซูมช่วงที่มีโควิด-19 เป็นกลุ่มที่เราอยากให้มีกิจกรรมมากขึ้น ปีนี้ก็มีการจัดกิจกรรมโสดสมาร์ทไปแล้ว ส่วนเรื่องของการหาคู่ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆนั้น คิดว่าถ้าเราใช้เครื่องมืออย่างรู้เท่าทัน คิดว่าเป็นประโยชน์ ส่วนตัวก็เคยเห็นหลายคู่ที่รักกันจริง แต่งงานกันได้จากแอปพลิเคชันหาคู่ ปีนี้ก็มีความร่วมมือกับเพจแม่สื่อแม่ชัก เพจที่เกี่ยวกับคนโสดที่จะให้คนไทยอยากมีคู่ เป็นอีกพื้นที่หนึ่ง การสนับสนุนแอปฯเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องศึกษาก่อนว่ามีความเสี่ยงอะไรหรือไม่อย่างไร ต้องให้ความรู้ผู้มาใช้บริการและผู้ให้บริการด้วยว่าจะทำอย่างไรจึงจะปลอดภัย เช่น ให้ความรู้เรื่องความสัมพันธ์ ความรู้การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย.
...