การทำอาหารสามารถทำให้อากาศภายในบ้านเรือนเป็นมลพิษได้ จนถึงขนาดการหายใจในครัวอาจจะพอๆกับการหายใจข้างถนนที่พลุกพล่าน ซึ่งออกซิเจนที่มีปริมาณน้อยสามารถป้องกันไม่ให้ก๊าซหรือเชื้อเพลิงแข็งเผาไหม้อย่างเหมาะสม จนก่อให้เกิดมลพิษที่เป็นอันตราย เช่น อนุภาคขนาดเล็กและไนโตรเจนออกไซด์ ที่อาจทำให้ปอดระคายเคือง เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหอบหืด มะเร็งปอด และโรคหัวใจ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง
ก่อนหน้านี้มีข้อมูลว่า ประมาณ 1 ใน 8 กรณีของโรคหอบหืดในเด็ก ในสหรัฐอเมริกา เชื่อมโยงกับเตาแก๊สหุงต้ม ขณะที่การวัดความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดเล็กในครัว 60 ชนิดใน 12 เมืองในเอเชียตะวันออกกลาง แอฟริกา และอเมริกาใต้ พบว่า ประมาณ 33% ของบ้านเรือนใช้ก๊าซธรรมชาติในการปรุงอาหาร ตามด้วยก๊าซปิโตรเลียมเหลว 27%, เตาไฟฟ้า 17%, ถ่าน 14%, น้ำมันก๊าด 8% และเอทานอล 1% ที่น่าสนใจคือ การสัมผัสกับมลพิษในครัวลดลงราว 30% เมื่อใช้ก๊าซธรรมชาติเมื่อเทียบกับการใช้ถ่านซึ่งก่อมลพิษ เมื่อไม่นานนี้ มีบทความในเว็บไซต์คอนเวอร์เซชันบอกวิธีปกป้องสุขภาพเมื่อต้องปรุงอาหารในครัวเรือน
วิธีที่แนะก็คือ ทอดให้น้อยลง เลือกสูตรอาหารดีต่อสุขภาพและใช้เวลาปรุงน้อยลง ตรวจสอบคุณภาพอากาศในครัว เพราะการสัมผัสกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอาคารที่มากกว่า 1,000 ส่วนในล้านส่วน (ppm) อาจทำให้ปวดหัว ง่วงนอน หรือหากความเข้มข้นของอนุภาคละเอียดในอากาศมากกว่า 15 ไมโครกรัมต่อนาที อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ควรเพิ่มการระบายอากาศ หันมาใช้เชื้อเพลิงที่สะอาดกว่า รวมถึงอย่ากระจุกตัวกันในห้องครัว และหลีกเลี่ยงการใช้เชื้อเพลิงหลายประเภทในครัว เช่น เตาอบไฟฟ้าและเตาแก๊สรวมกัน.