รายงานฉบับพิเศษ “ห้องเรียนฟื้นฟูหลังโควิด-19” ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา สะท้อนภาวะฉุกเฉินทางการเรียนรู้ เพราะโควิด–19 “เด็กประถมต้น” มีพัฒนาการถดถอย เทียบเท่าอนุบาลและภาวะกล้ามเนื้อบกพร่อง หากไม่เร่งฟื้นฟู...โอกาสล้มเหลวในอนาคตสูงบทสรุปแนวทางการฟื้นฟูพัฒนาการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยและประถมศึกษาตอนต้นระดับโรงเรียนและครอบครัว มีดังต่อไปนี้หนึ่ง...สังเกต วิเคราะห์พัฒนาการเรียนรู้ของเด็กๆที่เคยทำได้ แต่ไม่สามารถทำได้เหมือนเดิมสอง...สำรวจสุขภาพจิตใจของเด็กๆว่ามีความสุขในการเรียนหรือไม่สาม...หยุดการเร่งสอนเร่งเรียน ชะลอ 8 สาระวิชาเมื่อพัฒนาการและสมองยังไม่พร้อมเรียนรู้ยังทํางานได้ไม่เต็มที่ เพราะจะส่งผลเสียให้การเรียนเป็นความทุกข์และทำให้เด็กหันหลังให้กับห้องเรียนสี่...ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ใหม่ให้บูรณาการและสอดคล้องกับการพัฒนาฐานกาย เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ กระดูก ข้อแขน ขา ลำ ตัว และระบบประสาทสัมพันธ์ ทำอย่างจริงจังต่อเนื่องในช่วงชั้นประถมต้นห้า...ฟื้นฟูได้เร็ว ครอบครัวกับโรงเรียนต้องทํางานประสานกันจะเป็นภาระใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ ผู้ที่สนใจดาวน์โหลดรายงานฉบับพิเศษ ห้องเรียนฟื้นฟูหลังโควิด-19 ได้ที่ : www.eef.or.th ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาคุณภาพครู นักศึกษาครูและสถานศึกษา กสศ. บอกว่าการแก้ไขปัญหาให้ตรงจุดครู...โรงเรียนออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้บูรณาการสอดคล้องกับการพัฒนาฐานกาย... ทําอย่างจริงจังต่อเนื่อง ให้เวลา ให้กำลังใจ ให้โอกาสเด็ก...ขยายผลไปยัง ป.1 ป.3 แบบค่อยเป็นค่อยไปหากได้ฝึกอย่างจริงจัง 2 สัปดาห์หรือ 14 วัน เด็กส่วนใหญ่มีพัฒนาการดีขึ้นอย่างชัดเจน มีค่าแรงบีบมือจาก 7.6 กิโลกรัม เพิ่มเป็น 9.8 กิโลกรัม ถือเป็นแนวโน้มที่ดีในการฟื้นฟู การทําเช่นนี้คาดว่าจะช่วยลดความเสี่ยงในการสูญเสียเด็กรุ่นนี้ในระยะยาวได้ประเด็นสำคัญระบบประสาทรับความรู้สึกทั้ง 7 ช่องทาง ไม่ได้รับการกระตุ้นอย่างเพียงพอและเป็นสัญญาณบอกว่า “สมอง” ของ “เด็ก” ยังไม่พร้อมที่จะเรียนรู้ คุณครู ผู้ปกครองควรจะเฉลียวใจว่า....ภายใต้คำว่า “เขียน” เด็กต้องใช้ทั้งกระดูก ข้อ กล้ามเนื้อของมือในการจับดินสอและของลำตัว เพื่อทำให้ร่างกายตั้งตรงและทรงตัวได้อย่างมั่นคง จึงจะทำให้เด็กเคลื่อนมือในการเขียนได้ สมองต้องควบคุมการทำงานของร่างกายและต้องจดจำ แยกแยะรูปร่างของตัวพยัญชนะแต่ละตัวซึ่งมีความซับซ้อนคำว่า “อ่าน” ก็เช่นเดียวกัน เด็กต้องแยกเสียงพยัญชนะ สระ เมื่อนำมาประสมกันเป็นคำเกิดเป็นรูปใหม่ ได้เสียงที่เปลี่ยนไปอีกมีรายละเอียดที่ต้องพยายามเรียนรู้ซ่อนอยู่มากมาย ในขณะที่เด็กมีต้นทุนของทักษะการเรียนรู้น้อยเกินไป การดุเด็กว่าทำไมแค่นี้เขียนไม่ได้ อ่านไม่ได้ และการบังคับเคี่ยวเข็ญ...เด็กจะรู้สึกถูกกดดันและเครียด ยิ่งทำให้การเรียนรู้ช้าลงไปอีกครูและผู้ปกครองทุกคนต้องสังเกต จับสัญญาณจากเด็กให้ได้ การลุกยืน...เดินไปมาในคาบสอนไม่ใช่เด็กสมาธิสั้น หรือเป็นเด็กพิเศษ หรือการไม่ยอมทำการบ้านเพราะขี้เกียจเรียนอย่างที่หลายคนด่วนสรุปจากการสังเกตพฤติกรรมของเด็กอย่างใกล้ชิดและร่วมประเมินกับครู พบว่า...เกิดจากฐานกายเด็กยังไม่พร้อม เราจึงมุ่งแก้ไขปัญหาให้ตรงจุดร่วมกับครู...โรงเรียนที่ตั้งใจจะแก้ปัญหาควบคู่กับการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้บูรณาการสอดคล้องกับการพัฒนาฐานกาย ทำอย่างจริงจังต่อเนื่อง ให้โอกาสเด็ก ขยายผลไปยัง ป.1 และ ป.3 ด้วยการฟื้นฟูฐานกายและการเรียนรู้จะเห็นผลแบบค่อยเป็นค่อยไป ช่วงแรกจะเห็นผลไม่ทันใจครูต้องอดทน ใส่ใจ ให้เวลา ให้กำลังใจกับเด็ก เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นความ ก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม การทำเช่นนี้คาดว่าจะช่วยลดความเสี่ยงในการสูญเสียเด็กรุ่นนี้ในระยะยาวได้ผศ.พรพิมล คีรีรัตน์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตหาดใหญ่ โค้ชโครงงานฐานวิจัยฯ โครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง เสริมว่า การฟื้นฟูฐานกายและการเรียนรู้จะเห็นผลแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เด็กมั่นใจในการใช้ร่างกายเคลื่อนไหวแบบต่างๆ มีการทรงตัวที่มั่นคง จนเด็กรู้สึกไว้วางใจในศักยภาพร่างกายตนเองใน 1 สัปดาห์พบว่าเด็กมั่นใจขึ้น ร่าเริง สื่อสารดีขึ้น มีสมาธิจดจ่อในการฟังมากขึ้น ทานอาหารมากขึ้น เริ่มเล่นกับเพื่อน...คิดวิธีเล่นต่อยอดจากกิจกรรมที่ฝึก จดจำ ได้เร็วขึ้น มากขึ้น จำได้นานขึ้น ไม่ขาดเรียน ตื่นตัวรอคอยที่จะได้เล่นกิจกรรม สนุกและมุ่งมั่นกับการทำกิจกรรมการเรียนรู้แบบท้าทาย กำกับตัวเองได้ดีขึ้นเหล่านี้...ล้วนเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความพร้อมในการเรียนรู้ได้เริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว เป็นเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ที่คุ้มค่ามากๆดร.อุดม บอกอีกว่า ทำไมเราถึงเชื่อว่า...โรงเรียนจะพัฒนาตนเองได้ เพราะถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ หัวใจการจัดการเรียนรู้คือ “ห้องเรียน” แต่ว่าห้องเรียนก็คงไม่ได้ตั้งอยู่ในที่สาธารณะทั่วไปแต่ตั้งอยู่ในโรงเรียน ดังนั้น ห้องเรียนกับโรงเรียนจึงเป็นสิ่งแวดล้อมที่สำคัญต่อการจัดการเรียนรู้งานวิจัยชิ้นสำคัญของ จอห์น แฮทที (John Hattie) เรื่อง Visible Learning (2008) เป็นแนวคิดที่ตอบโจทย์การทำงานอย่างหนึ่งคือการพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบ (Whole School Approach) และการวิจัยว่ามีปัจจัยอะไรที่ส่งผลต่อการเรียนรู้หรือคุณภาพของเด็ก หรือผู้เรียนบ้าง ซึ่งมี 6 เรื่องที่สำคัญๆ คือครูต้องรู้จักศักยภาพของเด็ก, การรวมพลังของครูทั้งโรงเรียน, นักเรียนต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาตัวเอง, การจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับช่วงวัย, การปรับเปลี่ยนวิธีการออกแบบการเรียนรู้ของครู และการดูแลเด็กกลุ่มเสี่ยงหรือการจับสัญญาณเด็กนักเรียนให้ได้ โรงเรียนพัฒนาตนเอง กสศ.จึงนำแนวคิดข้างต้นนี้มาออกแบบกระบวนการพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบ เริ่มจาก...ระบบบริหารจัดการโรงเรียน คุณภาพ, นวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียน โดยมุ่งหวังให้โรงเรียนสามารถพัฒนาตนเองได้จนกลายเป็นต้นแบบในการขยายผลเชิงระบบร่วมกับหน่วยงานต้นสังกัดอันจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ...ช่วยผลักดันต้นแบบดังกล่าวสู่ระดับนโยบายต่อไปนอกจากนี้แล้วยังมี 6 มาตรการที่เป็นการแทรกแซงสำคัญในโรงเรียนพัฒนาตนเอง นั่นก็คือ...การตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย, กระบวนการ PLC, สารสนเทศที่มีคุณภาพ, การสร้างเครือข่ายทั้งภายในและภายนอกโรงเรียนนวัตกรรมจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนและระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนเป็นรายบุคคล ทำให้เกิดการสะท้อนผลจากข้อมูลให้เห็นปัญหา แนวทางฟื้นฟูนักเรียนขึ้นจากกระบวนการการทำงานของโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง ในเครือข่ายร่วมพัฒนามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ระหว่างภาคเรียนที่ผ่านมาการทำให้เด็กรู้สึกไว้วางใจร่างกายของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ ต้องทำให้เขาเกิดความมั่นใจในความสามารถของร่างกายตัวเองก่อน ให้เขารู้สึกว่าเมื่อครูให้ทำอะไร ฉันสามารถทำได้ คำว่า “ทำได้” หมายถึง “สำเร็จ” ในความหมายของเด็กเป็นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม...เด็กรับรู้ได้เอง“เราเคยเป็นไหมไปเจอคูน้ำที่อยู่ตรงหน้า สิ่งที่จะพาฉันข้ามไปได้คือร่างกาย ถ้าเราไม่มั่นใจว่าจะข้ามได้เราจะไม่ข้ามต้องหาตัวช่วย ทำนองเดียวกัน...เด็กเกาะราวบันไดเพราะฉันไม่มั่นใจว่าร่างกายจะช่วยให้ฉันปลอดภัยตอนขึ้นลงบันไดได้ไหม เอาเรื่องฐานกายให้แน่นก่อน...”