ผู้รู้จีนส่วนใหญ่ท่องจำกลอนคู่บทนี้ได้ “ขงเบ้งรอบคอบทุกชั่วยาม หลี่ว์ตวนเรื่องใหญ่ไม่บุ่มบ่าม” คนไทยรู้จักขงเบ้งดี น้อยคนจะรู้ว่า หลี่ว์ตวน เป็นใคร?อัครมหาเสนาบดีซ่งเหนือ (ค.ศ.935-1000) ครั้งหนึ่งเจอแรงผลักการเมือง ถูกปลดพ้นจากตำแหน่ง หลี่ว์ตวนหอบสัมภาระที่มีไม่มากนักเดินทางกลับบ้านเกิดนอกจากไม่ได้รู้สึกเศร้าเสียใจ เขากลับดีใจโล่งใจ ที่พ้นงานหนักหนาสาหัสของบ้านเมืองมาได้ จึงเดินทางแบบชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนคนทางบ้านรู้ข่าวแค่เขาจะกลับบ้าน ก็จัดงานต้อนรับ...ขุนนางหัวเมืองทั้งใกล้และไกลเดินทางมาสมทบ ผู้คนมากมาย มีเสียงฆ้องเสียงกลองประโคมหลี่ว์ตวนไปถึง คิดว่าน้องชายจัดงานแต่งงาน แต่พอรู้ว่าเป็นงานต้อนรับตัวเอง“ทุกคนไม่ต้องเกรงใจ” หลี่ว์ตวนบอกตรงๆ “ตอนนี้ข้าถูกปลดจากตำแหน่งแล้ว”สิ้นเสียงหลี่ว์ตวนบรรยากาศในงานก็เงียบกริบ คนตีฆ้องตีกลองยกมือค้าง ครู่หนึ่งมีเสียงขุนนางหัวเมืองถามย้ำ “ท่านพูดจริงหรือไม่” เมื่อได้ยินคำตอบชัด ขุนนางพวกนั้นก็หันหลังให้ หยิบข้าวของที่เตรียมมาติดมือกลับด้วยขณะหลี่ว์ตวน ยืนรอส่งแขกกลับบ้าน มีเสียงฝีเท้าม้าควบมาเร่งรีบ ฝุ่นฟุ้งตลบเห็นแต่ไกลพอฝุ่นจาง ขุนนางจากราชสำนักก็หยุดม้า ลงจากหลังม้า อ่านพระราชโองการ ให้หลี่ว์ตวนกลับเมืองหลวงด่วน เพราะโปรดให้เขากลับไปรับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีเหมือนเดิมฉากงานส่งแขกกลับบ้าน ก็เปลี่ยนเป็นฉากใหม่ พวกขุนนางที่บางคนเดินไปไกล ก็ย้อนกลับเข้ามาอีกทุกคนรู้ดีว่า ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีที่หลี่ว์ตวนเพิ่งได้ มีความหมายอันใดถึงตำแหน่งหน้าที่ที่เขามีอยู่ ทุกคนค่อยๆนั่งคุกเข่า ในสภาพยอมรับโทษจากสิ่งที่เพิ่งทำไปเวลาผ่านไป เมื่อผู้แทนจากราชสำนัก เดินทางกลับหมดแล้ว ขุนนางหัวเมืองเหล่านั้น ต่างก็ชวนกันยืนขึ้น ตีสีหน้ายิ้มแย้ม แสดงความยินดีหลี่ว์ตวนนั้น ได้ชื่อว่าเป็นคนสุขุมหนักแน่น...เขาผ่านวิกฤตการณ์เรื่องอำนาจวาสนามาหลายครั้ง เห็นเป็นเรื่องสามัญ แต่ญาติพี่น้องหลี่ว์ตวนทนไม่ได้ ชี้หน้าด่าพวกขุนนาง เป็นพวกที่เห็นแก่ประโยชน์คบไม่ได้ทันทีนั้น ขุนนางหัวเมืองคนหนึ่ง ก็แสดงบทใหม่ เขารีบนั่งคุกเข่าต่อหน้าหลี่ว์ตวน“ใต้เท้า ข้ามันไม่ใช่คน” พูดแล้วเขาตบหน้าแสดงบทลงโทษตัวเองฉาดใหญ่“ทุกคน ทำใจให้สบาย ไม่มีอะไรต้องกลัว” หลี่ว์ตวนปลอบใจทั้งยังหันไปห้ามญาติพี่น้องในบ้าน “เราไม่ควรบังคับคนอื่นให้ทำในสิ่งที่เขาไม่อยากทำ”แต่ต่อมาเขาก็สอนให้ญาติพี่น้องเข้าใจว่า “คนที่มาก็เพราะผลประโยชน์ เมื่อไม่มีผลประโยชน์ก็ไป เป็นเรื่องธรรมดา”ผมตั้งใจเอาเรื่องเก่าๆของจีนมาเล่า...เพราะเห็นภาพความแตกต่างระหว่างพี่น้อง คนน้องเจ้าของเก้าอี้ที่ว่าง ผู้คนที่เคยแวดล้อมน้อยลงจนผิดตา สีหน้าแววตามีคนเห็นว่าดูจะเหงาๆสมัยราชวงศ์ถัง หลีซื่อจือ มหาเสนาบดีเคยเขียนบทกวีรำพึงรำพัน ให้คนจีนจดจำ“ยามปลดพ้นราชกิจ คลายจิตร่ำสุรา ที่ปรึกษาเคยเสนอหน้า วันนี้มาสักกี่คน”คนพี่แม้เล่นบทประทับใจ ไม่นั่งเก้าอี้น้อง แต่ก็ออกงานเล่นบทใหม่ จากคนแก่ที่พูดแต่คำว่า ไม่รู้ แต่ตอนนี้รู้ทุกเรื่อง พูดได้ทุกเรื่องทั้งลีลา “ใจบันดาลแรง” ก็เข้มแข็งคึกคักแวดล้อมด้วยบริวารที่แน่นขนัดฉากถูกสาวขโมยหอมแก้มทำคะแนนได้ไม่น้อยละครการเมืองที่สองพี่น้องผลัดกันเล่น ผมเห็นข้อดีข้อแรกครับ อย่างน้อยก็ช่วยซื้อเวลา ทำให้เผลอลืมไปได้บ้างว่า สินค้าอาหารขึ้นราคาไปเท่าไหร่...ข้อดีข้อต่อมา ข่าวคนอดตายยังไม่มีในบ้านเมืองเรา.กิเลน ประลองเชิง