ทันทีที่คลายล็อกมาตรการป้องกันโควิด-19 “บ่อนการพนันขนาดใหญ่” ก็โผล่ขึ้นมาใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ลักลอบเปิดกันอย่างโจ๋งครึ่ม “ท้าทายเย้ยกฎหมาย” โดยไม่สนใจคำสั่งห้ามมั่วสุมเล่นการพนันในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อการแพร่ระบาดของโรคเลยแม้แต่น้อย

เหตุนี้ทำให้พลเมืองดีทนไม่ไหว “แจ้งตำรวจ” เข้าทลายบ่อนย่านห้วยขวาง กทม. สามารถควบคุมตัวนักพนันได้ 52 คน แยกเป็นชาย 34 คน หญิง 18 คน ในจำนวนนี้มีทั้งคนสัญชาติไทย จีน พม่า และมาเลเซีย พร้อมของกลางเงินสด 4 ล้านกว่าบาท อุปกรณ์เล่นการพนันบาคารา 30 รายการ

สรุปแล้วนับแต่วันที่ 1 มิ.ย.จนถึงวันนี้ที่มีการผ่อนคลายสถานการณ์โควิด-19 “โฆษก บช.น.” แถลงผลการปฏิบัติจับกุมคดีพนัน 497 คดี ผู้ต้องหา 611 คน โดย บก.น.2 จับกุมได้ 109 คดี สน.สุทธิสารจับกุมได้ 13 คดี

เรื่องนี้เป็นประเด็นร้อนให้สังคมตั้งข้อสงสัยว่า “ยิ่งปราบมากบ่อนยิ่งเพิ่มขึ้น” แถมเปิดเล่นกันแบบไม่สนใจใคร แม้แต่ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ก็แทบควบคุมไม่ได้นี้ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีต หน.พรรครักประเทศไทย เล่าว่า การพนันขันต่อเป็นกิจกรรม “เคียงคู่คนไทยไม่ห่างเหินไปไหน” เพราะเคยมีมาแต่โบราณกาล อย่างเช่น...

...

สมัยก่อนมี “โรงบ่อนหรือโรงหวย” ที่เรียกกันว่า “หวย ก. หวยข.” ออกผลรางวัลทุกวันก่อนถูกยกเลิกไป ต่อมาก็มี “ไพ่นกกระจอก” เป็นการพนันต้องขออนุญาตเล่น แล้วปัจจุบันก็ยังมีการจัดชนไก่ แข่งม้า ชนโค ที่อนุญาตให้เล่นการพนันได้อยู่มากมาย จนอาจกล่าวได้ว่าการพนันอยู่คู่สังคมไทย และเป็นสิ่งที่นิยมของคนทุกชนชาติ

สาเหตุเพราะ“การพนันเป็นอบายมุขผิดกฎหมาย” ที่สังคมไทยมองว่า “เป็นธุรกิจสีเทา” แม้ถูกจับดำเนินคดีก็มีโทษไม่ร้ายแรงคือ “ปรับไม่กี่พันบาท” แล้วยิ่งไม่เคยทำความผิดติดคุกมาก่อนมักรอลงอาญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหาเจ้าของบ่อนผู้ถือบัญชีรายชื่อเคลียร์เส้นทางไม่เคยเจอเลยสักครั้งเดียว

ต่างจากการลักลอบซื้อขายยาเสพติด “ธุรกิจสีดำมีโทษหนัก” มักไม่มีใครอยากไปยุ่งเกี่ยวด้วยซ้ำ

เช่นนี้แล้วเมื่อ “การพนันเป็นอบายมุข” ถูกนิยามเป็นธุรกิจประเภทสีเทามีโทษไม่หนักหนา “แต่มีผลประโยชน์มหาศาล” ทำให้มีข่าวลือหนาหูเสมอว่า “กลุ่มคนมีสีบางราย” มักเข้ามาเรียกผลประโยชน์โดยมิชอบได้ง่าย “เสมือนเป็นถุงเงินสำคัญ” จนบางคนอยากให้มาเปิดบ่อนในพื้นที่ความรับผิดชอบของตัวเองด้วยซ้ำ?

เพื่อสร้างรายได้ “ส่งดูแลผู้ใหญ่ให้เอ็นดูหวังเลื่อนขั้นมีตำแหน่งสูงขึ้น” ฉะนั้นอาจจะกล่าวได้ว่าบ่อนการพนันเป็นธุรกิจคอร์รัปชันทั้งระบบ “คนมีสีบางคน” มักเข้ามามีเอี่ยวรับผลประโยชน์จากบ่อนมหาศาลนี้

ถ้าย้อนดูกรณี “บ่อนการพนันย่านห้วยขวาง” ที่ตำรวจบุกจับกลางดึกไปเมื่อเร็วๆนี้ “ถ้าดูลักษณะภายในบ่อนถูกตกแต่งหรูหราอย่างดี และมีความทันสมัยมาก” ทำให้ตั้งข้อสังเกตว่า หากไม่ได้รับไฟเขียวจะสามารถเปิดบ่อนได้ใหญ่โตขนาดนี้หรือไม่ เพราะส่วนใหญ่บ่อนลักลอบเปิดนั้นมักมีสภาพโทรมมากกว่านี้แน่นอน

ทำให้มักมีข่าวลือกันว่า “ใครจะเปิดบ่อนได้ต้องจ่ายก่อน” ที่ไม่ใช่จ่ายเฉพาะหน่วยเดียว แต่ยังมีหลายส่วนเข้ามารับผลประโยชน์จากธุรกิจสีเทา และยิ่งตอนนี้มีคนไม่เกี่ยวข้องเข้ามาตีกิน “ถ้าไม่จ่ายก็แฉเปิดโปงข้อมูลเก๊ๆเรียกราคา” แล้วเชื่อว่าผู้ใหญ่หลายท่านไม่รับประโยชน์ตรงนี้แต่การไม่รับก็ยอมหลับตาข้างเดียวเช่นกัน

ประเด็นมีอยู่ว่า “กลุ่มเปิดบ่อนยังเป็นหน้าเดิม” ที่วนเวียนทำธุรกิจสีเทานี้แต่สิ่งที่เริ่มเห็นเปลี่ยนไปคือ “นายทุนจีนเข้ามาร่วมหุ้นทำบ่อนในไทยเยอะขึ้น” แล้วยังเป็นกลุ่มทุนสำคัญนำเงินมาลงทุนในกิจการอบายมุขอื่นอีกหลายรายการไม่ว่าจะเป็น ผับ เธค บาร์ แต่ละแห่งตกแต่งหรูหราใหญ่โตมโหฬารลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท

อันเกิดจากการร่วมลงทุนกับ “คนไทยที่มีคอนเนกชันสูง” ทำหน้าที่บริหารช่วยเคลียร์ทางระหว่างการเปิดธุรกิจสีเทานี้ แม้แต่ “บ่อนย่านห้วยขวาง” ก็มีข่าวลือกันว่า “เป็นเงินทุนจากคนจีนมาร่วมหุ้นกับคนไทยหน้าเดิมๆ” ส่วนรายได้เท่าที่เคยรู้ประสบการณ์ทำบ่อนน่าจะมีเงินหมุนเวียน 2.5 ล้าน/วัน หรือ 75 ล้านบาทเดือน

ส่วนสาเหตุ “กลุ่มนายทุนจีนให้ความสำคัญทำกิจการอบายมุขในกรุงเทพฯ” ก็เพื่อตอบโจทย์อำนวยความสะดวกแก่ “กลุ่มนักเสี่ยงโชคเงินหนา” ที่ไม่ต้องเดินทางข้ามไปเล่นตามชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ยกเว้นบ่อนออนไลน์ตั้งเซิร์ฟเวอร์ในประเทศเพื่อนบ้านที่คนรุ่นใหม่ฮิตนิยมเล่นเติบโตขึ้นอย่างมหาศาล

...

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีคำถามว่า “ทำไมไม่ตั้งบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายในไทยทั้งที่ประเทศเพื่อนบ้านเปิดกันหมดแล้ว...?” สาเหตุเพราะคนบางกลุ่มในสังคมไทยไม่เปิดใจยอมรับ มองว่า “การพนันเป็นสิ่งไม่ดี ผิดศีล มอมเมาประชาชน” แต่ในทางกลับกัน “บ่อนพนัน” กลับผุดขึ้นเกลื่อนเกือบทุกจังหวัดของประเทศไทยแล้วด้วยซ้ำ

อีกทั้ง “การค้าประเวณีมักถูกต่อต้านห้ามมี แต่ก็พบตั้งอาบ อบ นวดกลางเมืองเต็มไปหมด” ดังนั้น ธุรกิจประเภทสีเทานี้ยังจะอยู่ในสังคมไทยยาวนาน คงถึงเวลาที่ต้องเปิดใจกว้างยอมรับการเปลี่ยนแปลงกันแล้วหรือไม่ เพื่อเป็นแหล่งสร้างรายได้เก็บภาษีเข้าภาครัฐดีกว่าจะปล่อยให้เงินไปตกอยู่กับนักลงทุนที่เป็นใครก็ไม่รู้

เท่าที่ทราบตอนนี้ “แวดวงการเมือง” ก็กำลังพยายามผลักดันให้มี “ใบอนุญาตเปิดบ่อนกาสิโนถูกกฎหมาย” โดยมีนักการเมืองกลุ่มหนึ่งใช้เวทีสภาผู้แทนราษฏรในการต่อรองกันถึงขนาดว่า “ดูที่ดูทางจุดสถานที่จัดตั้งกันเรียบร้อย” ในช่วงแรกๆอาจจะมีการตั้งอยู่ในเกาะใดเกาะหนึ่งไปก่อน

...

ไม่เท่านั้น “ผู้ผลักดันกลุ่มนี้ยังมีเพาเวอร์ค่อนข้างสูง” ในส่วนผู้ดำเนินการก็นั่งเครื่องบินไปหารือกับนักธุรกิจบ่อนกาสิโนต่างประเทศแล้ว ฉะนั้นสภาฯสมัยนี้มีแนวโน้มที่จะเปิดบ่อนการพนันในไทยได้เร็ววันนี้

อย่าลืมว่า “กัญชา” ก็เคยเป็นยาเสพติดผิดกฎหมาย มักพูดกันว่า “เป็นสิ่งไม่ดี” แต่ปัจจุบันกลับปลดล็อกกัญชาเสรีทั้งยังเปิดโอกาสให้ “นักธุรกิจคิดสูตร” ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันกัญชา อาหารผสมกัญชา เครื่องดื่มผสมกัญชา แปรรูปได้มากมาย และยังเปิดโอกาสให้ชาวบ้านปลูกได้ แม้แต่จะสูบก็ได้แค่อย่าส่งกลิ่นรบกวนเท่านั้นเอง

เช่นเดียวกับ “การนำบ่อนกาสิโนมาอยู่บนโต๊ะ” สามารถกำหนดอายุ สเปกบุคคลเข้าใช้บริการ หรืออาจใช้โมเดลเดียวกับสิงคโปร์ที่ห้ามผู้มีรายได้น้อยเข้าไปเล่น

ต้องยอมรับว่า “เปิดบ่อนกาสิโนถูกกฎหมาย” เป็นหนทางดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้นได้ดีที่สุด ทั้งยังเกิดการลงทุน ก่อให้เกิดการจ้างงาน รวมถึงพัฒนาส่งเสริมโรงแรม สถานที่บันเทิง พิพิธภัณฑ์ และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ที่มิใช่ว่าต่างชาติเข้ามาในไทยแล้วจะให้ชมเฉพาะวัดวาอาราม คลอง และทะเลเพียงแค่เท่านั้น

...

ดังนั้น ประเทศไทยอย่าทำเจี๋ยมเจี้ยมเหนียมอายควรเปิดเสรีไปเลยเพื่อเป็นทางเลือกให้นักท่องเที่ยวเข้ามาพักผ่อนมากขึ้น เพราะในหลายประเทศก็มี “การเปิดบ่อนกาสิโนเสรี” จนเป็นเรื่องธรรมดากันไปแล้ว

ยิ่งสถานการณ์แบบนี้ที่ “รัฐบาลบ่จี๊(ไม่มีตังค์)” จะไปรีดเก็บภาษีจากประชาชนในยุคข้าวของแพงสารพัดย่อมเป็นไปได้ยาก ดังนั้น “บ่อนกาสิโน” จะเป็นแหล่งจัดเก็บภาษีจากธุรกิจการพนันถูกกฎหมาย “สร้างรายได้มหาศาลให้ประเทศดีที่สุด” เพื่อดึงเม็ดเงินส่วนแบ่งจากตลาดกาสิโนในประเทศเพื่อนบ้านที่มีมาก่อนเรา

ถึงแม้ว่า “ไทยจะมีบ่อนกาสิโนช้ากว่าเพื่อนบ้าน” แต่บ้านเรามีเสน่ห์อื่นมาประกอบ เช่น มีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ มีทะเลสวยงาม และยิ่งมีบ่อนกาสิโนก็จะเป็นทางเลือกดึงความสนใจนักท่องเที่ยวเดินทางมามากขึ้น

เบื้องต้นเท่าที่ “รัฐบาลพร้อมเปิดไฟเขียว” แต่ยังเหลือแค่ “เกรงใจความรู้สึกสังคม” ทำให้ต้องตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร (Entertainment Complex) ขึ้นมานี้

ย้ำว่า “เปิดบ่อนถูกกฎหมาย” มิใช่แก้ปัญหาบ่อนเถื่อนให้หมดไป “แต่โลกสีเทายิ่งมีใบอนุญาตเสียภาษียิ่งดี” เพราะบ่อนกาสิโนมีผลประโยชน์มหาศาลอันจะเป็นแหล่งรายได้หลักให้ภาครัฐนำไปพัฒนาประเทศได้แน่ๆ ลักษณะคล้ายกรณีลอตเตอรี่ที่มีการลักลอบขายหวยเถื่อนกัน แต่ว่าก็มีเงินส่วนหนึ่งเป็นรายได้เข้าภาครัฐเช่นกัน

ฉะนั้นโปรดทราบว่า “การเปิดบ่อนเสรี” มิใช่การแก้ปัญหาบ่อนผิดกฎหมายทั้งหลายให้หมดไป แต่สิ่งที่จะได้คือ “รายได้มหาศาล” จากการเก็บภาษีธุรกิจบาปนี้ที่จะถูกนำมาพัฒนาประเทศต่อไป.