ระยะหลังๆมานี้เกิดเหตุอันน่าสะพรึง กลัวในกรณีเกิดการฆาตกรรมขึ้นกับสมาชิกในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น “บิดา” หรือ “มารดา” ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดบุตรธิดาขึ้นมา แล้วก็เกิดทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันจนหนักไปถึงขั้น...“ฆ่ากัน”

หรือบุตรธิดาเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกับผู้ให้กำเนิดจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม สุดท้ายจบลงที่ “ปิตุฆาตหรือมาตุฆาตคือ การฆ่าบิดาหรือมารดาของตนเอง” ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นแต่ก็ได้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าและมีแนวโน้มจะหนักขึ้นไปเรื่อยๆ

พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก ประธานมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน เจ้าอาวาสวัดบางไส้ไก่ กทม. บอกว่า กรณีเช่นนี้เป็นสิ่งที่น่าตระหนักสำหรับผู้คนในสังคมไทยของเราว่า “สำนึกความเป็นบุตรธิดาในจิตใจได้หดหายไปแล้วหรือ?” มนุษย์เราเริ่มมีความป่าเถื่อน ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษกันขนาดนี้แล้วหรือ?

เราจึงควรหันมาทบทวนทำความเข้าใจ ร่วมปลูกฝังจิตสำนึกให้กับเด็ก เยาวชน อนุชนรุ่นหลังของพวกเรา อย่างเช่น เทศกาลสงกรานต์ที่เป็นประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของคนไทยก็ได้ผ่านพ้นไปเมื่อไม่นานนี่เอง มาร่วมมือร่วมใจกัน ป้องกันมิให้เกิด “ปิตุฆาตหรือมาตุฆาต” เกิดขึ้นในสังคมไทยกันเถิด

...

บาปกรรมอย่างหนักที่สุดเรียกว่า “อนันตริยกรรม” หรือ “ครุกรรม” ตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาที่พระพุทธองค์ได้เคยตรัสสอนผ่านมาแล้วสองพันกว่าปีมี 5 อย่างคือ 1.ฆ่าบิดา 2.ฆ่ามารดา 3.ฆ่าพระอรหันต์ 4.ทำให้พระกายของพระพุทธเจ้าห้อเลือด 5.ทำให้สงฆ์แตกแยกกัน

“เหล่านี้ถือว่าเป็นบาปกรรมที่บุคคลใดกระทำลงไปแล้ว หนักสุดถึงกับขั้นห้ามไปสวรรค์หรือห้ามไปนิพพาน...กระทำลงไปจะต้องถูกดำเนินคดีทางโลกถึงขั้นประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ไม่มีโอกาสได้แก้ตัวเลยถูกผู้คนในสังคมประณามหยามเหยียด โดยเฉพาะผู้ที่ได้กระทำกับบุพการีคือผู้ที่เคยมีอุปการะมาก่อน”

การที่บุตรหรือธิดากระทำ “กรรม” อันหนักเช่นนี้จะด้วยสาเหตุใดก็ตามเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะกระทำอย่างยิ่ง บิดาหรือมารดาท่านจะดำรงชีพอยู่ในสถานะใดทางสังคม คนที่เป็นบุตรหรือธิดาไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะการทะเลาะเบาะแว้ง ทำร้ายร่างกายหรือเข่นฆ่าบุพการีของตนเอง กลายเป็นบาปอย่างหนักที่ไม่สามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาหรือ “ให้อภัยโทษ” โดยประการทั้งปวง

“คนที่กระทำกรรมเช่นนี้จึงไม่ควรมีที่ยืนอยู่ในสังคม”

พระมหาสมัย ย้ำว่า ปัญหาของชีวิตของแต่ละคนย่อมมีด้วยกันทั้งนั้นตราบใดที่เรายังมีกิเลสคือ สิ่งที่ทำให้จิตใจของเราเศร้าหมอง ที่ยังมีความโลภยังมีความโกรธและยังมีความหลงกันอยู่

“กิเลสมากหรือกิเลสหนาจะก่อให้เกิดกระทำกรรมที่หนัก กิเลสน้อยก็จะก่อให้เกิดการทำกรรมที่เบา หรือถ้าไม่มีกิเลสเลยก็จะไม่กระทำกรรมชั่วช้าใดๆทั้งสิ้น”

การดำรงชีวิตประจำวันของผู้คนในครอบครัวอันประกอบด้วยบิดา มารดา บุตร ธิดาและญาติย่อมมีการกระทบกระทั่งกันอยู่บ้าง ไม่ผิดอะไรกับ “ลิ้นกับฟัน” ที่อยู่ด้วยกันและติดกัน ย่อมมีความผิดพลาดในการทำหน้าที่อยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ต้องให้อภัยกันเมื่อผิดพลาดลงไปเพราะ “ลิ้นกับฟันจะต้องอยู่คู่กันตลอดไป”

คนที่ยังมีกิเลสอยู่จึงต้องดิ้นรนต่อสู้กับชีวิตกันไป แต่ถ้าจะให้ดีก็ขออย่าให้ “กิเลสหนา” เข้าครอบงำก็แล้วกัน จะไม่ได้กระทำกรรมที่หนักและเกิดโทษขึ้นมา การดำเนินชีวิตของสมาชิกในครอบครัวก็เช่นเดียวกัน จำเป็นต้องอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความเข้าใจ ความจำเป็นและความต้องการของแต่ละชีวิต

...

นั่นคือ...ทุกชีวิตล้วนต้องการแต่ความสุขความเจริญ ไม่ต้องการพบเห็นหรือได้สัมผัสกับสิ่งที่เลวร้ายไม่ว่ากรณีใดๆ ดังนั้นความรักความอบอุ่นในครอบครัวจึงเป็นปราการด่านแรกที่ทุกคนจะต้องปลูกฝังให้เกิดขึ้นกับครอบครัวเพราะจะเป็นเกราะป้องกันภัยชนิดต่างๆ ที่อาจจะติดตามมาได้อย่างดี

...เป็น “ภูมิ” หรือ “วัคซีน” ที่ดีที่สุดของครอบครัว ตราบใดที่บิดามารดาหรือบุตรธิดามีชีวิตอยู่ร่วมครอบครัวเดียวกัน ชายคาเรือนเดียวกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนเองให้บริบูรณ์ก็ย่อมก่อให้เกิดแต่ความสุขและความอบอุ่นขึ้นมาในครอบครัว ยิ่งมีแต่ความสุขอันถาวรยิ่งขึ้น

ถ้าหากสมาชิกในครอบครัวถูกอบรมบ่มนิสัย ปลูกฝังเต็มเปี่ยมไปด้วยธรรมะตามหลักธรรมคำสอนของศาสนาที่ตนเองเคารพและนับถือกัน จนกลายเป็น “ครอบครัวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยศีลและธรรม” อย่างน่าชื่นใจ ศีลธรรมนี่เองจะเป็นเกราะป้องกันเหตุเภทภัยต่างๆ...ที่อาจจะเกิดขึ้น

“ความดีย่อมชนะความไม่ดี” ด้วยประการทั้งปวง

...

ถ้าเราจะย้อนดูสาเหตุของต้นตอของปัญหากรณีดังกล่าว ส่วนหนึ่งมาจากการแพร่ระบาดของยาบ้า ยาเสพติดที่ได้เกิดขึ้นอย่างหนัก ถึงแม้ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการป้องกันและปราบปรามมาโดยตลอดก็ตาม แต่ก็ยังไม่หมดสิ้นเพราะผู้เสพก็ต้องการเสพกันอยู่ ผู้ผลิตก็ยังผลิตกันอยู่ ผู้ขายก็ยังขายกันอยู่

เมื่อมีสมาชิกในครอบครัวเสพ “ยาเสพติด” หรือเกี่ยวข้องกับ “ยาบ้า” ก็จะเริ่มก่อให้เกิดปัญหาขึ้นมา เกิดการระแวงภายในครอบครัว เกิดการระแวงของเพื่อนบ้านหรือผู้คนในหมู่บ้านหรือในชุมชนขึ้นมา...

ต่างมีความรู้สึกว่า “น่ากลัวและไม่ปลอดภัย”

เมื่อผู้เสพยาบ้าหรือยาเสพติดเข้าไปในร่างกายแล้ว พิษร้ายของยาเสพติดชนิดนั้นๆก็จะแผลงฤทธิ์ออกมาจนเกิดประสาทหลอน คลุ้มคลั่ง ควบคุมสติไม่ได้ เกิดการทำลายทรัพย์สินหรือสิ่งของที่อยู่รอบตัว ทำร้ายคนที่อยู่ใกล้เคียง รวมถึงเกิดการฆาตกรรมขึ้นมาหนักไปถึงกลายเป็น “ปิตุฆาตหรือมาตุฆาต” มาแล้ว

น่าสนใจว่า...กรณีสะท้านสังคมไทยเช่นนี้ได้กลายเป็นข่าวบ่อยขึ้น ได้สร้างความสะเทือนใจให้ผู้คนในสังคมจนได้สะท้อนออกมาว่า “ความกตัญญูกตเวที” ของผู้คนในยุคนี้หายไปไหน? ศีลธรรมของผู้คนเสื่อมไปมากขนาดนี้แล้วหรือ? อะไรจะมาเป็นจุดให้สติและดึงผู้คนเหล่านั้นมิให้ตกอยู่ใน “หลุมนรก” กันต่อไป?

...

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับชีวิตย่อมมีทางเลือกและทางออกอยู่เสมอ ทุกชีวิตย่อมไม่มีทางตีบตันตราบใดที่เรายังมี “สติและปัญญา” จะพูดจะทำอะไรก็ขอให้มี “สติ” อยู่ตลอดเวลา การที่จะพูดและการที่จะทำก็จะไม่มีข้อบกพร่อง สติจึงเปรียบเสมือน “หางเสือ” ส่วนปัญญาจะเป็นแสงสว่างในการแก้ไขปัญหาชีวิตที่ถูกจุด...ไปด้วยดี

ดังนั้นคนเราถ้ายังมี “สติ” และ “ปัญญา” อย่างสมบูรณ์อยู่ย่อมเกิดการคิด การพูด และการทำอย่างถูกต้อง...เหมาะสม ไม่มีเกิดโทษแต่เกิดประโยชน์เพียงอย่างเดียว ในทางตรงกันข้ามกับคนที่ตกเป็นทาสของยาบ้ายาเสพติด สติและปัญญาก็จะถูกทำลายจนไม่รู้ตัว คิดก็ผิด พูดก็ผิด ทำก็ผิด

...ในที่สุดก็กลายเป็นโทษเพียงอย่างเดียว จนตนเองเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ผิดศีลธรรมอันดีของศาสนา ต้องถูกดำเนินคดีจากผลของการกระทำที่ขาดสติและไม่มีปัญญา

เมื่อชีวิตถูกคุมขังแล้วก็เหมือนกับ “ตายทั้งเป็น”...บิดามารดาควรที่จะต้องเลี้ยงบุตรธิดาด้วยความรัก ความอบอุ่น สร้างขวัญ...ให้กำลังใจแก่บุตรธิดา ให้ความรู้ ความเข้าใจในการดำเนินชีวิตประจำวัน แนะนำพร่ำสอนสมาชิกในครอบครัวให้รู้สิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดี ให้มองเห็นสิ่งที่เป็นโทษเป็นอันตรายต่อตนเองต่อครอบครัว

ขอจงอย่าใช้ “ความรุนแรง” ในการตัดสินปัญหาเพราะมีแต่การทำลาย ไม่สามารถยุติปัญหาได้อย่างถาวร... “ความรัก” “ความอบอุ่น” เท่านั้นที่จะแก้ไขปัญหาได้ทั้งในระยะสั้น ระยะยาว สุดท้ายนี้อาตมาขออย่าให้ภัยร้ายนี้อาละวาดอยู่ในสังคมไทยได้อีกต่อไป.