งานวิจัยสั้นๆ ชิ้นหนึ่งที่เพิ่งตีพิมพ์ออกมาเกี่ยวกับความหวัง “วัคซีน” ที่จะออกแบบมาเพื่อให้มีความจำเพาะต่อไวรัส...“โอมิครอน” เนื่องจากวัคซีนที่ออกแบบมาใช้ตอนนี้ใช้ข้อมูลหนามสไปก์ของไวรัสสายพันธุ์เริ่มต้นและวัคซีนดูเหมือนจะใช้ได้ดีมาก

“ภูมิคุ้มกัน” ที่ร่างกายตอบสนองต่อวัคซีนโดยเฉพาะแอนติบอดีที่วัคซีนกระตุ้นขึ้นมาได้ มีความจำเพาะสูงและมีประสิทธิภาพการยับยั้งไวรัสได้ดี เห็นได้จากประสิทธิภาพของวัคซีนที่ได้สูงมากกว่า 90%
ซึ่งเกินความคาดหมายที่ 50% ไปแบบเกินคาด
พอไวรัสโอมิครอนอุบัติขึ้นและหนีภูมิจากวัคซีนรุ่นเก่าไปมาก ความพยายามปรับวัคซีนให้ออกแบบมาจำเพาะต่อโอมิครอนจึงได้เริ่มขึ้น ประสบการณ์จากวัคซีนรุ่นแรกทำให้มีความคาดหวังว่า... “วัคซีนรุ่นสอง” น่าจะกระตุ้นภูมิต้านโอมิครอนได้สูงมากเช่นกัน เพราะอย่างไรก็มาจากโปรตีนหนามสไปก์เหมือนกัน
กลไกการกระตุ้นภูมิจึงไม่ควรแตกต่างกันมาก แต่พอเห็นหัวข้อของงานวิจัยชิ้นนี้แล้ว เหมือนจะไม่ใช่ข่าวดีเท่าไหร่ ข้อมูลที่รายงานมาบอกว่า... “โปรตีนหนามสไปก์ของโอมิครอนไม่ได้มีคุณสมบัติกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีเหมือนกับของไวรัสดั้งเดิม” ถึงแม้ว่าปริมาณแอนติบอดีที่จับโปรตีนสไปก์ในสัตว์ทดลองที่ถูกฉีดด้วยวัคซีน “แบบเก่า” และ “แบบใหม่” จะมีปริมาณสูงทั้งคู่
...

แต่...ความสามารถในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของวัคซีนที่ออกแบบมาจากสไปก์โอมิครอนไม่ดีเท่าของเดิม ข้อมูลสำคัญคือ แอนติบอดีของหนูที่ฉีดวัคซีนเดิมสามารถยับยั้งไวรัสสายพันธุ์อื่นๆ เช่น Alpha, Beta และ Delta ได้ดีและสูงกว่าภูมิจากสไปก์โอมิครอนมากๆ
ที่น่าผิดหวังคือ ภูมิต่อไวรัสโอมิครอนจากสไปก์โอมิครอนเองก็ไม่แตกต่างจากสไปก์สายพันธุ์ดั้งเดิม
ทีมวิจัยยังแสดงผลอื่นๆของระบบภูมิคุ้มกันนอกจากคุณสมบัติการยับยั้งของแอนติบอดี เช่น ปริมาณ T cell หรือคุณสมบัติการกระตุ้น T cell จากวัคซีน ก็พบว่า “สไปก์โอมิครอน” สู้ “สไปก์ตัวเดิม” ไม่ได้ การใช้สไปก์ของโอมิครอนอาจจะไม่สามารถนำมาเป็นวัคซีนต่อโอมิครอนได้แบบตรงไปตรงมาเหมือนรุ่นแรกได้
เทคนิคต่างๆอาจจะต้องหามาเพิ่มให้ “วัคซีนรุ่นใหม่” จริงๆแล้วละครับ...เป็นความท้าทายของวงการวิจัยด้านวัคซีนจริงๆครับ ข้อมูลทั้งหมดข้างต้นนี้ ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา สวทช. โพสต์แสดงความคิดเห็นไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

ต่อเนื่องด้วยงานวิจัยอีกชิ้นที่เปรียบเทียบข้อมูลไวรัสโอมิครอนที่ติดเข้าไปในผู้ป่วยที่ 1.ไม่เคยได้รับวัคซีน 2.ได้วัคซีน 2 เข็ม และ 3.วัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มที่สาม เมื่อติดแล้วเอาตัวอย่างที่แยงจมูกไปตรวจ RT-PCR จะพบว่า “ค่า Ct” ที่อ่านได้ (genome copy) ในแต่ละกลุ่มไม่แตกต่างกัน
ทำให้สรุปไปว่า...ปริมาณไวรัสที่ตรวจพบสูงพอๆกัน แต่ความเป็นจริงคือค่า Ct ที่ตรวจได้เป็นปริมาณสารพันธุกรรมของไวรัส ซึ่งอาจมาจากไวรัสหรือ เศษเซลล์ที่ไวรัสไปติดและแตกออกมาได้ งานวิจัยชิ้นนี้ได้หาความสัมพันธ์ระหว่างไวรัสที่แยกมาจากตัวอย่างในกลุ่มผู้ติดเชื้อในแต่ละกลุ่ม พบว่า...
ถึงแม้ค่า Ct จะไม่ต่าง แต่ไวรัสที่มาจากกลุ่มได้วัคซีนเข็มกระตุ้นมีปริมาณไวรัสที่มีชีวิต...คือเอาไปติดเซลล์และวัดการเพิ่มจำนวนในแล็บ ที่น้อยกว่าอีกสองกลุ่ม ดูคร่าวๆประมาณ 1 log หรือ 10 เท่า ในขณะที่ไวรัสจากกลุ่มที่ได้วัคซีน mRNA 2 เข็มมีปริมาณไวรัสที่แพร่ต่อได้ไม่แตกต่างจากกลุ่มที่ไม่ได้วัคซีน

...
ทีมวิจัยจึงสรุปว่า การฉีดเข็มกระตุ้นที่สามอาจจะไม่ช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ แต่ถ้าติดแล้ว ไวรัสที่จะแพร่ไปต่อให้คนอื่นจะลดลงได้ครับ
อีกข้อมูลที่น่าสนใจจากการศึกษานี้คือ ปริมาณไวรัสที่เพาะได้จากผู้ติดเชื้อ “เดลตา” กับ “โอมิครอน” ที่ได้วัคซีนครบ 2 เข็ม พบว่าเดลตามีปริมาณไวรัสในตัวอย่างที่แยกได้สูงกว่าโอมิครอนพอสมควร (10 เท่าเช่นกัน) แต่ข้อมูลในกลุ่มประชากรกลุ่มนี้กลับพบการแพร่กระจายของเดลตาไปได้ช้ากว่าโอมิครอน
นั่นแสดงว่า “โอมิครอน” ใช้ไวรัสปริมาณไม่มากในการแพร่กระจาย จุดติดง่ายกว่าเดลตามากครับ และ...โอมิครอนในการศึกษานี้ยังเป็น BA.1 ซึ่งถ้า BA.2 ซึ่งไวกว่า BA.1 อาจมีแนวโน้มที่จะใช้ไวรัสน้อยลงกว่านั้นในการแพร่กระจาย
“ไวรัสติดง่ายมาก ต้องลดปริมาณที่ปลดปล่อยด้วยหน้ากากอนามัย อากาศที่ถ่ายเทจะเจือจางไวรัสได้อีก และเวลาสัมผัสที่น้อยลง คงต้องมาช่วยวัคซีนแล้วครับ”

นอกจากนี้แล้ว ดร.อนันต์ ยังบอกอีกว่า การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมาเหมือนจะมีตัวที่โดดเด่นมาครองพื้นที่ 1-2 สายพันธุ์ อย่างมากคือ 3 สายพันธุ์ในเวลาเดียวกัน บริบทนี้มีแนวโน้มเปลี่ยนไป จากข้อมูลของอังกฤษที่มีการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสที่กระจายในประเทศในช่วง 12 สัปดาห์ที่ผ่านมา
...
พบไวรัสรูปแบบต่างๆกันได้มากถึง 13 รูปแบบ ทั้งไวรัสต้นฉบับอย่าง BA.1 และ BA.2 ไวรัสที่กลายพันธุ์เพิ่มอย่าง BA.4 และ BA.5 ตลอดจนไวรัสลูกผสม Hybrid อย่าง XE และ XF และไวรัสตัวเก่าอย่าง Alpha และ Delta ที่คิดว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว ก็ยังพบการกระจายในประชากรได้อยู่
ประเด็นสำคัญมีว่า...เหตุการณ์ลักษณะแบบนี้ย้อนแย้งกับแนวคิดปัจจุบัน ถ้าจะเป็น “โรคประจำถิ่น” จริงๆ อาจจะต้องควบคุมให้เหลือจำนวนสายพันธุ์ที่กระจายให้น้อยลง ควบคุมได้แบบเอาอยู่ มาเป็นหน้ากระดานแบบนี้และไม่ทราบลักษณะการเปลี่ยนแปลงจะมีผลต่อไวรัสอย่างไร อาจเป็นโรค ประจำถิ่นยากขึ้น

เชื่อมโยงประเด็นสำคัญที่หลายๆคนสนใจนั่นก็คือ หลักการการฉีด “วัคซีนเข็มกระตุ้น” คือ การกระตุ้นให้เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันที่จำโปรตีนหนามสไปก์จากวัคซีนเข็มก่อนหน้านี้เอาไว้ ให้แบ่งตัวและสร้างแอนติบอดีออกมายับยั้งการติดเชื้อของไวรัส เซลล์ที่ว่ามีชื่อทางวิชาการว่า “Memory B Cell” หรือ “MBC”
หลังจากที่เราได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้ว ร่างกายของแต่ละคนก็จะมี MBC ที่ไปจดจำตำแหน่งต่างๆของโปรตีนหนามสไปก์ที่วัคซีนเข้าไปทำให้ร่างกายรู้จัก และไปสร้างแอนติบอดีไปจับส่วนของโปรตีนหนามนั้นๆ ส่วนที่ MBC ไปมองเห็นและจดจำจะไม่ยาว
...
ดังนั้น...ร่างกายของเราจะมี MBC มากมายที่ไปสร้างแอนติบอดีมาจับกับสไปก์ได้หลากหลายตำแหน่งทั้งโปรตีนหนาม ประเด็นสำคัญคือ MBC ไปจดจำตำแหน่งส่วนไหนของหนามสไปก์ ถ้าไปจำตำแหน่งที่ไม่สำคัญ แอนติบอดีที่สร้างขึ้นมาไปเกาะกับหนามสไปก์แล้วไม่ได้ไปยับยั้งหรือมีผลต่อการติดเชื้อของไวรัส MBC นั้นก็ไม่มีประโยชน์ กระตุ้นขึ้นมาจากเข็มกระตุ้นกี่ครั้งก็ไม่มีประโยชน์ในแง่ของการป้องกันการติดเชื้อ

“MBC ที่เราอยากได้คือ เซลล์ที่ไปเห็นและจดจำตำแหน่งสำคัญ และ...สร้างแอนติบอดีที่ดีมาจับหนามสไปก์ และยับยั้งไวรัสไม่ให้ติดเชื้อเข้าสู่เซลล์ได้ ยิ่งจับแน่นเท่าไหร่จึงมีประสิทธิภาพสูง เป้าหมายสำคัญการฉีดเข็มกระตุ้นคือไปกระตุ้นให้ MBC เหล่านี้แบ่งตัวเยอะๆ สร้างแอนติบอดีประสิทธิภาพสูงยับยั้งการติดเชื้อ”
เนื่องจากวัคซีนที่ใช้เป็นเข็มกระตุ้นออกแบบมาจากไวรัสที่ไกลจากโอมิครอนมาก คำถามที่น่าสนใจคือ ร่างกายของเราจะมี MBC ที่สามารถสร้างแอนติบอดีแบบยับยั้งโอมิครอนได้เท่าไหร่ การกระตุ้นแต่ละครั้งโอกาสจะไปเจอ MBC ตัวเก่งๆให้สร้างแอนติบอดียับยั้งโอมิครอนได้มีประมาณเท่าไหร่
เหล่านี้เป็นคำถามที่น่าสนใจ แม้ว่าภูมิที่กระตุ้นขึ้นมาจะตกลงค่อนข้างไว เพราะ MBC ที่ทำหน้าที่ตรงนี้มีไม่มาก แต่ปริมาณที่ไม่มากนี้ยังเพียงพอต่อการ “ป้องกัน” ไวรัสเข้าสู่ “อวัยวะสำคัญ” ซึ่งการฉีด... “เข็มกระตุ้น” ใน “กลุ่มเปราะบาง” จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆเช่นเดียวกัน.