ปรากฏการณ์ “น้ำทะเลเปลี่ยนสี” หรือ...Algal bloom (red tide) คืออะไร มีอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตอย่างไร?...ประเทศ “แอฟริกาใต้” ประกาศแผนฉุกเฉินและแจ้งเตือนระดับ...“สีแดง” หลังจากพบกุ้งล็อบสเตอร์เกยตื้นกองบนชายหาดในพื้นที่เวสต์ โคสต์ จังหวัดเวสเทิร์นเคป ถึง 500 ตัน จากสาเหตุนี้ ประเด็นที่หนึ่ง...น้ำทะเลเปลี่ยนสี หรือขี้ปลาวาฬ เป็นปรากฏการณ์ที่แพลงก์ตอนพืชเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้น้ำทะเลมีสีที่เปลี่ยนไปตามสีของแพลงก์ตอนพืชที่เพิ่มมากขึ้นจะมีลักษณะเป็นตะกอนแขวนลอยในน้ำเป็นหย่อม หรือเป็นแถบยาว มีแนวตามทิศทางของกระแสลมและคลื่นประเด็นที่สอง...ผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศทางทะเลจากน้ำทะเลเปลี่ยนสี ได้แก่ ก๊าซออกซิเจนในน้ำบริเวณนั้นลดลง เนื่องจากการเพิ่มจำนวนของแพลงก์ตอนทำให้มีการใช้ออกซิเจนมากขึ้นเมื่อแพลงก์ตอนเหล่านั้นตายลงสารอินทรีย์จากแพลงก์ตอนดังกล่าวจะถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรีย มีการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียมากขึ้น ทำให้อัตราการใช้ออกซิเจนในน้ำสูงขึ้นตามไปด้วย และ...เซลล์ของแพลงก์ตอนพืชที่ลอยในน้ำจะลอยเป็นฝ้าหรือกลุ่มก้อนในน้ำ บดบังการส่องของแสงลงไปในน้ำการลดลงของออกซิเจนในน้ำและความเข้มของแสงที่ส่องผ่านในน้ำลดลง มีผลให้จำนวนสัตว์น้ำลดลง...อีกทั้งความหลากหลายและความชุกชุมของสัตว์น้ำเปลี่ยนแปลงถ้า “แพลงก์ตอน” ที่เพิ่มจำนวนขึ้นสามารถสร้างสารพิษได้ อาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อสัตว์น้ำ และสารพิษจะถูกถ่ายทอดผ่านสายใยอาหารจนถึงมนุษย์ซึ่งเป็นผู้บริโภคลำดับสุดท้ายด้วย อาจารย์สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย สะท้อนมุมมองใกล้ตัว กรณี “ไฟไหม้บ่อขยะ” ซ้ำซากในช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นบทเรียนที่ไม่เคยได้รับการแก้ไข...ไฟไหม้เกิดขึ้นได้อย่างไร และแนวทางการเฝ้าระวังให้ปลอดภัย อาจารย์สนธิ บอกว่า กรณีเพลิงไหม้บ่อขยะแพรกษาใหม่ในเนื้อที่ 320 ไร่ ที่ซอยขจรวิทย์ ต.แพรกษาใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการขยะสะสมอยู่เกือบ 10 ล้านตัน...เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ถือว่าเป็นบทเรียนที่รัฐต้องพึงเฝ้าระวังการเกิดไฟไหม้กองขยะในช่วงฤดูร้อนที่จะมาถึงนี้ฤดูร้อนทุกปีในเดือนมีนาคม เมษายน พฤษภาคม จะเกิดไฟไหม้บ่อขยะจำนวนมาก ที่ผ่านมาในปีนี้เกิดขึ้นแล้วไม่ต่ำกว่า 20 แห่ง...พลิกดูข้อมูลปี 2564 มีปริมาณขยะมูลฝอยเกิดขึ้นในประเทศไทยราว 25.37 ล้านตัน มีการจัดการในรูปแบบต่างๆ แต่ใช้วิธีการเทกองกองโตเป็นภูเขาอยู่ไม่ต่ำกว่า 1, 767 แห่ง ซึ่งเป็นที่มาของเหตุรำคาญที่อันตรายต่อสุขภาพและอาจก่อให้เกิดไฟไหม้ได้ในช่วงฤดูร้อนของทุกปี ...จากการศึกษาพบว่าจะเกิดการลุกติดไฟได้เองของกองขยะชุมชน (Spontaneous combustion) เนื่องจากทุกแห่งมีขยะที่สามารถติดไฟ อยู่เป็นจำนวนมาก เช่น เศษผ้า เศษพลาสติก ไม้ กระป๋องสเปรย์ไอระเหยสารอินทรีย์ เป็นต้น รวมทั้งมีปริมาณสารอินทรีย์ที่ย่อยสลายได้เป็นจำนวนมากเช่น ผัก ผลไม้ เศษอาหาร...เมื่อถูกฝังกลบเป็นกองภูเขา “สารอินทรีย์”...เหล่านี้ที่ถูกฝังลึกลงไปจากผิวหน้ามากกว่า 42 เซนติเมตรขึ้นไป จะเกิดการย่อยสลายแบบไร้ออกซิเจน หากมากกว่า 10 วันจะก่อให้เกิดก๊าซมีเทน ก๊าซไข่เน่า ก๊าซแอมโมเนีย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้งเกิดปฏิกิริยาคายความร้อนออกมาตั้งแต่ 25-55 องศาฯ กลายเป็นฮอตสปอตจุดความร้อน เป็นหย่อมๆ ใต้กองขยะ และจุดใดมีความร้อนตั้งแต่ 55 องศาฯขึ้นไปก็มีโอกาสที่ทำให้เกิดไฟลุกได้ หากภายในกองขยะมีก๊าซออกซิเจนเหลือร้อยละ 1-10 ของอากาศ บวกกับอุณหภูมิ 55 องศาฯในกองขยะบวกกับก๊าซมีเทนและเชื้อเพลิงที่ติดไฟ จะมีโอกาสทำให้ขยะกองนี้ลุกติดไฟได้เอง (self-heating and ignition) นำมาสู่การเกิดฝุ่นละออง 2.5, เหตุรำคาญ กลิ่น ควัน, สารไดออกซินและฟูแรน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนถัดมา...การลุกติดไฟได้เองพบว่าไม่ได้มีสาเหตุมาจากก๊าซมีเทนโดยตรง เนื่องจากก๊าซมีเทนจะติดไฟได้เองเมื่อมีอุณหภูมิมากกว่า 500 องศาฯ แต่ก๊าซมีเทนจะมีผลทำให้ไฟไหม้กองขยะรุนแรงมากขึ้นหลังจากกองขยะติดไฟแล้ว นอกจากนี้สาเหตุที่สำคัญคือมาจากการที่ “คน” เอา “เชื้อไฟ” ไปใส่กองขยะอีกด้วยถึงตรงนี้...ในช่วงฤดูร้อนนี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เทศบาล จะต้องเตรียมการและเฝ้าระวังการเกิดไฟไหม้กองขยะ โดยต้องเตรียมอุปกรณ์ดับเพลิงไว้ในพื้นที่ ดูแลไม่ให้บุคคลภายนอกจุดไฟใส่กองขยะ สำหรับการป้องกันการลุกติดไฟได้เองอันดับแรกคือ...ต้องหมั่นพลิกกลับไปมากองขยะอย่างสม่ำเสมอ ต่อมา...การฉีดพ่นน้ำเป็นฝอยเหนือกองขยะในช่วงอากาศร้อนจัด นำขยะที่เป็นแหล่งเชื้อเพลิง เช่น เศษผ้า พลาสติก ไม้...กลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ให้มากที่สุด นอกจากนี้ควรจัดเวรยามเฝ้าระวังการทิ้งก้นบุหรี่หรือการทิ้งเชื้อเพลิงลงในกองขยะอย่างเข้มงวดด้วย และเตรียมถังสารเคมีแห้งสำหรับดับไฟให้พร้อมที่สำคัญคือไม่ควรกำจัดขยะแบบเทกอง (open dump) แต่ควรจัดการขยะโดยการฝังกลบให้ถูกต้องตามหลักสุขาภิบาล และนำก๊าซมีเทนกับก๊าซไข่เน่าระบายสู่บรรยากาศไม่ให้สะสมในกองขยะปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องใกล้ตัวของทุกคน และทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน ที่สำคัญคือผู้ที่มีส่วนสำคัญในระดับนโยบายต้องวางแผนบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิผลประสิทธิภาพจะเกี่ยวมากเกี่ยวน้อยก็น่าจะเกี่ยวอยู่บ้างกับคำถามที่ว่า ผู้ว่าฯแบบไหน...ถึงได้ใจคน กทม.?นับจากคณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. และนายกเมืองพัทยา โดยให้ กกต.เป็นผู้ประกาศวันที่แน่ชัดซึ่งการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นภายในเวลาไม่เกิน 60 วัน คาดว่าภายในเดือนพฤษภาคม 2565อาจารย์สนธิ มองว่า กรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงชั้นแนวหน้าควรจะเป็นคนที่ผ่านการทำงานทั้งที่เคยเป็นพนักงานและเป็นผู้บริหารองค์กรมาก่อน ต้องรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ทำงานได้ ใช้คนเป็น และควรเป็นคน “ติดดิน โปร่งใส ใจถึง พึ่งได้ มองไกล ใจกว้าง สร้างศรัทธา” “ติดดิน”...หมายถึงต้องลงพื้นที่คลุกคลีเพื่อทราบปัญหาคุณภาพชีวิตของคนทุกระดับชั้น ต้องรู้และเข้าถึงทุกปัญหาทั้งมิติ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม “โปร่งใส”...ทำงานโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ทุกโครงการต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้“ใจถึง”...ต้องกล้าใช้กฎหมายจัดการปัญหาต่างๆ เช่น รถวิ่งบนทางเท้า จัดการคนทิ้งขยะลงพื้น...แหล่งน้ำ...อาคารที่ผิดประเภท...เรื่องร้องเรียนอย่างถูกต้อง “พึ่งได้”...คนทุกระดับเข้าถึงง่าย “มองไกล”...มีวิสัยทัศน์มองถึงพัฒนากรุงเทพฯในอีก 8 ปีข้างหน้า เช่น ปัญหาน้ำท่วม ฝุ่นควัน สิ่งปฏิกูลมูลฝอย น้ำเสีย ชุมชนแออัด“ใจกว้าง”...ให้โอกาสเจ้าหน้าที่ได้เสนอความเห็นและให้โอกาสแสดงฝีมือ ต้องฟังเสียงประชาชน และ “สร้างศรัทธา”...ต้องทำตัวให้เป็นที่รักของทุกคนในทุกโอกาสปัญหาของ “กทม.” มีหลายเรื่องที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน...ด้วยมีความเรื้อรัง ทับซ้อนหลายมิติ...“ผู้ว่าฯคนใหม่” จึงต้องมีภูมิหลัง ทีมงาน นโยบาย วิสัยทัศน์ แนวทางการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมเท่านั้นที่จะนำไปสู่ชัยชนะ...ประเภทคุยโม้โอ้อวดพูดแต่เมกะโปรเจกต์ บางครั้งก็สู้ไม่ได้กับนโยบายที่ติดดินแต่แก้ปัญหาได้ในทุกมิติหากยังไม่เจอ ยังไม่ได้ก็ต้อง...“อัตตาหิ อัตตโน นาโถ” ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนกันต่อไป.