นับวันยิ่งไม่ใช่เรื่องไกลตัว “อุบัติเหตุบนถนนรถชนคนตาย” มักเกิดแบบไม่คาดฝันได้ทุกเสี้ยววินาที สร้างความสูญเสียให้ผู้ประสบเหตุแล้วมีจำนวนไม่น้อย “ไม่อาจเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม” ทำให้ไม่ได้รับการเยียวยาค่าเสียหาย กลายเป็นไม่ได้รับความเป็นธรรมซ้ำเติมอีกแต่หากว่ากันในทางกฎหมายแล้ว “อุบัติเหตุรถชนคนอื่นบาดเจ็บหรือเสียชีวิต” มีโทษตามกฎหมายหลายฉบับ ทั้งความผิดทางอาญา พ.ร.บ.จราจรทางบก แล้วยังสามารถเรียกร้องค่าเสียหายในทางแพ่งได้อีก ภูดิท โทณผลิน ทนายความสมาคมนักกฎหมายคุ้มครองสิทธิและสิ่งแวดล้อม บอกว่าอุบัติเหตุบนถนนมักมีจุดเริ่มต้นจาก “ความประมาท” ที่เกิดได้ทั้งเพื่อนร่วมทางคนอื่น หรือเกิดจากตัวผู้ขับขี่ แล้วยิ่งกรณีมี “ผู้บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต” มักเป็นคดีอาญาที่ไม่อาจยอมความได้แบ่งเป็น 2 กรณี คือ กรณีแรก...“ความผิดลหุโทษ” เป็นคดีอาญาที่เกิดจากอุบัติเหตุลักษณะการกระทำความผิดเล็กๆน้อยๆ สามารถเปรียบเทียบปรับในชั้นพนักงานสอบสวนก็เป็นอันยุติคดีได้กรณีที่สอง...“อุบัติเหตุทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส หรือผู้อื่นเสียชีวิต” ตามหลักกฎหมายพนักงานสอบสวนต้องสรุปสำนวนส่งอัยการสั่งฟ้องดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดโดยประมาทเสมอ แม้ว่าคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายจะมีการตกลงชดเชยค่าเสียหายกันขึ้นก็ไม่สามารถยอมความกันได้ประการถัดมา...“บทลงโทษทางอาญากรณีขับรถประมาทเฉี่ยวชนคนอื่น” ตามทฤษฎีกฎหมายอาญามองว่า “ความประมาทเป็นการกระทำโดยพลาดไป” มิใช่ลักษณะการฆาตกรรมอย่าง “เจตนาฆ่าผู้อื่น” ทำให้เปิดช่องไว้ว่า “ถ้าจำเลยสำนึกผิดเยียวยาสิ่งทำไป” เช่น ชดเชยค่าเสียหาย จ่ายเงินคู่กรณีจนไม่ติดใจดำเนินคดีแม้จำเลยเยียวยาค่าเสียหายนั้นยังไม่เป็นที่พอใจกับฝ่ายผู้เสียหายก็ตามแต่หากมากพอสมเหตุสมผลแล้ว สิ่งนี้มักเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาการลงโทษในคดีอาญาสถานเบา หรือรอการลงโทษได้เพราะแม้ว่า “การขับรถชนคนอื่นบาดเจ็บหรือเสียชีวิต” เป็นคดีอาญาไม่อาจยอมความได้ แต่คุณธรรมทางกฎหมายเน้น “การเยียวยาบรรเทาความเสียหายให้แก่ผู้เสียหายมากกว่าการนำผู้กระทำผิดไปลงโทษติดคุกติดตะราง” ดังนั้นถ้ามีชดเชยค่าเสียหายมักมีโอกาสต้องโทษสถานเบา หรือรอการลงโทษก็ได้ เว้นแต่เป็นพฤติกรรมกระทำผิดซ้ำซ้อนชนแล้วชนอีก หรือยุ่งเกี่ยวยาเสพติดที่เรียกว่า “ขับเสพ” กรณีนี้ศาลท่านมักไม่พิจารณาลดโทษ หรือรอการลงโทษ แม้มีฐานะร่ำรวยมีเงินเยียวยาผู้เสียหายก็ตามอยากฝากเตือนสติ “นักดื่ม” โดยเฉพาะช่วงเทศกาล “เมาขับแล้วเกิดอุบัติเหตุ” ถ้าอัยการบรรยายฟ้อง “ลักษณะการละเมิดอยู่ในช่วงการรณรงค์” มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าไม่ติดคุกมากก็ติดน้อยแน่ๆดังนั้นผู้ขับรถประมาทชนคนอื่นเสียชีวิตถ้าไม่เมาแล้วขับ ไม่ขับเสพ ไม่กระทำผิดซ้ำซาก โดยเฉพาะมีการเยียวยาค่าเสียหายตามสมควรก็มีเหตุอันได้รับ “การลงโทษสถานเบา” เพื่อเปิดโอกาสให้เขาปรับปรุงตัวเป็นคนดีก็ได้ แต่ว่าคดีอาญาจบก็ใช่ว่าคดีแพ่งจะจบไปด้วยไม่ “ผู้เสียหาย” มีสิทธิยื่นเรียกค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งต่อได้อีกในส่วน “การเยียวยา หรือการได้มาซึ่งความเสียหายของผู้เสียหาย” อันเป็นเหตุบรรเทาผลกระทบเชิงจิตใจผู้ได้รับความเสียหายจากผู้กระทำโดยประมาทนี้ในการพูดคุยตกลงชดเชยค่าเสียหายกันในชั้นพนักงานสอบสวนมักตกลงกันไม่ได้มากกว่า 95% ทำให้มีหลักเรียกร้องค่าเสียหายตามกฎหมายได้ 2 แนวทาง คือแนวทางแรก...“เรียกร้องค่าเสียหายเข้ามาในคดีอาญา” ที่เรียกว่า “คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา” เพราะอุบัติเหตุมักเป็น “คดีเกี่ยวกับละเมิด” ต้องมีการดำเนินคดีอาญา หรือเรียกค่าเสียหายในทางแพ่งได้เสมอ ดังนั้นเมื่อตำรวจส่งสำนวนคดีให้อัยการฟ้องต่อศาลแล้ว “ผู้เสียหาย” จะยื่นคำร้องเข้าเป็นโจทก์ร่วมทั้งยื่นคำร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งในคดีอาญาก็ได้ ถ้าเป็นไปได้ควรให้ “ทนายความ” ดำเนินการแทนดีกว่าผู้เสียหายทำกันเอง เพื่อประสิทธิภาพการเรียกร้องสิทธิ ผลประโยชน์ที่ผู้เสียหายควรจะได้รับสูงขึ้น ถ้าเป็น “กรณีอุบัติเหตุทำให้ผู้เสียหายบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต” มีมูลค่าความเสียหายสูง แนะนำใช้แนวทางที่สอง... “แยกฟ้องคดีทางแพ่ง” เพราะ สามารถใช้สิทธิการเรียกร้องค่าเสียหายได้เต็มที่นั่นหมายความว่า “คดีอาญา” เมื่อตำรวจส่งสำนวนคดีส่งอัยการยื่นฟ้องในคดีประมาท “ผู้เสียหาย” ควรขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมอันมีจุดประสงค์ใช้สิทธิติดตามให้ทราบผลคดีทางอาญา ส่วนการเรียกร้องค่าเสียหายต่อมูลละเมิดไม่ควรนำเข้าไปฟ้องรวมกับคดีอาญา นำออกมาแยกฟ้องในทางแพ่งแทนสาเหตุที่ต้องแยกฟ้องคดีละเมิดในทางแพ่งนี้ มักสามารถนำสืบค่าเสียหายได้เยอะกว่า “การฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา” ดังนั้นเมื่อ “ศาลอาญา” มีคำวินิจฉัยถึงที่สุดว่า “จำเลย” มีความผิดประมาทจริงแล้ว “ศาลแพ่ง” ก็จะนำผลคำวินิจฉัยนั้นมาพิจารณาค่าเสียหายที่จำเลยสมควรต้องจ่ายให้ผู้เสียหายได้มากน้อยเพียงใดต่อไปย้ำข้อสำคัญต่อว่า... “การแยกฟ้องคดีละเมิดในทางแพ่ง” ยังสามารถการันตี การได้รับค่าเสียหาย เพราะบางกรณีลูกจ้างขับรถประมาทเฉี่ยวชนบุคคลอื่น เมื่อฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา มักไม่มีเงินชดเชยต่อผู้เสียหาย ดังนั้น การแยกฟ้องคดีแพ่งจะช่วยในการฟ้องให้นายจ้างเข้ามาเป็นจำเลยร่วมรับผิดชอบตามกฎหมายด้วยถ้าเป็นหน่วยงานรัฐก็สามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายจากต้นสังกัดได้เช่นกัน เช่น สมมติว่า “ตำรวจบิ๊กไบค์อยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ขับรถชนคนอื่นเสียชีวิต” ถ้าผู้เสียหายสืบทราบได้ว่ากำลังอยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่จริงย่อมสามารถฟ้องเรียกร้องต้นสังกัดเข้ามาร่วมรับผิดชอบได้ สิ่งนี้ถือเป็นประโยชน์ในการแยกฟ้องคดีแพ่งนี้แต่ว่า “การฟ้องแยกคดีทางแพ่ง” มีข้อเสียคือ “ผู้เสียหาย” มีภาระต้องจ้างทนายความว่าความ 2 คดี และต้องวางค่าธรรมเนียมศาลร้อยละ 2 ต่างจาก “ฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา” ไม่ต้องมีค่าธรรมเนียมศาลต่อมา...“หลักการคำนวณค่าเสียหายมูลละเมิดในทางแพ่ง” หากเป็นกรณี “ไม่เสียชีวิต” นับจากค่ารักษาพยาบาล ค่าขาดงานขาดประโยชน์ ค่าเสียหายต่อทรัพย์สิน และค่าที่เกิดความเสียหายแก่ร่างกาย ถ้าเป็นกรณี “การเสียชีวิต” คำนวณจากค่ารักษาพยาบาลก่อนเสียชีวิต ค่าขาดงานขาดประโยชน์และค่าปลงศพ แล้วหาก “ผู้เสียชีวิตเป็นหัวหน้าครอบครัว” ก็คำนวณฐานรายได้ขาดประโยชน์ ถ้ามีภาระต้องดูแลบุตรเดือนละ 5 หมื่นบาท ก็คำนวณจนบรรลุนิติภาวะ 20 ปี หรือมีพ่อแม่ต้องดูแลก็คิดค่าเลี้ยงดูจนถึงอายุ 65 ปีถัดมาในเรื่อง “ระยะเวลาคดีถึงที่สุด” ตามประมาณการคร่าวๆ นับแต่เกิดเหตุตำรวจส่งสำนวนคดีให้อัยการสั่งฟ้องไม่น่าเกิน 8 เดือน แล้วเข้าสู่กระบวนการในชั้นศาล 7 เดือน ดังนั้นในคดีอาญาศาลชั้นต้นราว 1 ปี กรณียื่นอุทธรณ์พิจารณาลดโทษไม่เกิน 8 เดือน ถ้าขอต่อสู้คดีไม่เกิน 1 ปี ส่วนกระบวนการชั้นศาลฎีกาเดาทางลำบากคดีละเมิดเรียกค่าเสียหายในทางแพ่งมีอายุความ 1 ปี ทนายความมักยื่นฟ้องช่วงคดีอาญาเดินหน้าไป 8-10 เดือน เพื่อดูทิศทางผลคดีอาญามาพิจารณาฟ้องคดีแพ่ง ส่วนระยะเวลาคดีถึงที่สุดใกล้เคียงฟ้องคดีอาญาปัญหามักพบบ่อยๆ “คดีถึงที่สุดแล้วคู่กรณีไม่ชำระค่าเสียหาย” ที่เป็นอุปสรรคในกระบวนการยุติธรรมมาก “หลายคนปรึกษาไม่ได้รับค่าเสียหาย” ก็น่าเห็นใจฝ่ายผู้เสียหายเช่นกัน ต้องสูญเสียคนที่รักไปแล้วยังไม่ได้รับเงินเยียวยาอีก แต่หาก “จำเลยมีฐานะยากจนจริงๆ” เป็นเรื่องลำบากในการบังคับค่าเสียหายได้นั้นหากว่า “กรณีจำเลยมีเงินแต่ไม่ยอมจ่าย” มีวิธีบังคับได้ไม่ยากด้วย “การตรวจสอบสืบทรัพย์” นำเข้าสู่กระบวนการบังคับคดีขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ละเมิดภายหลังก็ได้...นี่คือหลักขั้นตอนดำเนินการทางกฎหมายเกี่ยวกับ “คดีอุบัติเหตุ” ที่ล้วนเกิดจาก “ความประมาท” มักจบด้วยชดเชยค่าเสียหาย หรือผู้ก่อเหตุรับโทษ แต่สำหรับ “ผู้ตกเป็นเหยื่อความสูญเสีย” แม้บาดแผลทางกายหายดีความเจ็บปวดทางใจยังฝังลึกติดตัวไปตลอดชีวิต...