พลานุภาพของ “ตาวิเศษ” บันทึกสิ่งที่เรียกว่า “คลิป” เป็นเช่นที่คุณหญิงชดช้อย โสภณพนิช รณรงค์โฆษณาให้คนเลิกทำความชั่ว แม้เนิ่นนานหลายปีเต็มที แต่จนป่านนี้ ผมไม่เคยลืมสโลแกน “ตาวิเศษเห็นนะ”ถ้าไม่มีตาวิเศษ เราคงไม่ได้เห็นถุงดำ ที่ผู้กำกับโจ้ใช้ในโรงพักนครสวรรค์ คดีจับยาเสพติด คงจบแบบที่เคยจบ ผู้ต้องหา “หัวใจล้มเหลว”เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มีตาวิเศษ สาธุชน คนพุทธ คงไม่เห็นภาพ 4 สมภาร 3 ลูกวัด ที่เชียงใหม่ จัดปาร์ตี้หมูกระทะสะดุด หยุดคิดกันสักนิด...คดีปาร์ตี้หมูกระทะ เพิ่งเกิดมีในช่วงที่รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์บ้านเมือง มีชาวบ้านถูกจับไปแล้วหลายครั้ง ความน่าสนใจกว่า คราวนี้เป็นคิวของพระภาพที่ตาวิเศษบันทึก คนโกนหัวห่มผ้าเหลืองล้อมวงปาร์ตี้...มีขวดเบียร์เรียงเป็นโหลอยู่ข้างๆ ดูยังไงก็ไม่จืดคดีน่าสนใจนี้ ไม่ยาว เพราะผู้ต้องหาสารภาพ ยอมรับผิดความผิดทางโลก จัดปาร์ตี้ผิดกติกาบ้านเมือง ตำรวจเขาคงว่าของเขาไป คงไม่หนักหนาแต่ประเด็นคือทางพระ...ท่านจะว่ายังไงผมมีความรู้ระดับเด็กวัดรุ่นเก่า...จำได้งูๆปลาๆพระฉันข้าวเย็น (หมูกระทะ) ผิดวินัยสถานเบา ข้อฉันอาหารในเวลาวิกาล (หลังเที่ยงวัน) ถึงวันพระก็มีธรรมเนียม “ปลงอาบัติ”ผมจำภาพ พระที่เป็นอาบัติ กราบพระอาวุโส แล้วสองพระท่านก็คุกเข่า องค์ที่เป็นก็บอกเป็นภาษาบาลี แปลความทำนองว่า ผมได้ทำผิดไปแล้ว พระองค์อาวุโสก็ตอบ รู้ตัวว่าผิดก็ดีแล้ว อย่าเผลอไปผิดอีกพระองค์ที่ปลงอาบัติ ก้มกราบ องค์ที่รับปลง ก็พนมมือรับ ก็จบ แค่นี้เอง อาบัติก็หายส่วนข้อฉันเบียร์ เข้าข่ายเครื่องดองของเมา ผมเคยท่องนวโกวาท ได้จบทั้งเล่ม เมื่ออายุ 12-13 ปี ถึงวันนี้คืนครู ภาษาชาววัดว่า “เข้าหม้อ” ไปหมดแล้ว จำไม่ได้จริงๆ มีอยู่ในอาบัติ “ปาจิตตีย์” ข้อไหนแต่ที่จำได้แน่ๆ อยู่ในศีลชาวบ้านข้อ 5 สุราเมรยะ มัชชะปมา ฯลฯ นั่นปะไรแต่จะมีหรือไม่...ผมก็รู้ว่า อาบัติ 227 ข้อ ที่พระท่านทบทวนปาติโมกข์ทุกวันพระ 15 ค่ำ ยังมีนอกเหนือไปอีก เรียกอาบัตินอกปาติโมกข์จำได้ข้อหนึ่ง พระส่องกระจกดูหน้าเพื่อรักษาโรค ทำได้ แต่ถ้าดูกระจกชมโฉมตัวเอง เป็นอาบัติถุลลัจจัยแต่พอจับความได้ ทั้งพระแอบฉันข้าวเย็น พระฉันเหล้าเบียร์ แม้ทางพระเป็นอาบัติเบาๆ ปลงหาย แต่ชาวบ้าน เป็นอีกเรื่องอาบัติพวกนี้ ไม่ใช่อาบัติชั่วหยาบ เช่นเกี้ยวสีกา หรือปาราชิก อาบัติหนัก เป็นแล้วต้องสึกจากพระ แต่เมื่อเป็นเรื่องให้ญาติโยมเก็บเอาไปซุบซิบนินทาภาษาวัดว่า “โลกวัชชะ” แปลว่า “โลกติเตียน”โบราณว่า ปลาเน่าตัวเดียว ก็มักทำให้ปลาเน่าไปทั้งข้องโดยคัลลองสมภาร ท่านก็มักให้สึกผมอ่านจากข่าวหนังสือพิมพ์ เจ้าคณะท่านว่า เจ็ดพระปาร์ตี้หมูกระทะ สมัครใจสึกเอง ก็โล่งใจ ขนบของชาววัดยังเป็นเช่นนี้...พระที่เผลอพลั้งทางวินัย...ท่านมักละอายใจ ขอลาสึกไปเองขืนดื้อ ก็สู้หน้าญาติโยมไม่ไหว ตอนออกไปบิณฑบาตตอนเช้าพระที่รู้ว่าทำผิด แล้วละอายใจลาสึก ภาษาชาววัดว่า พระลัชชี ส่วนพระที่หน้าด้านหน้าทน เปิดกฎกติกาทางพระทางโลกเข้าสู้ ยังไงๆก็ไม่ยอมสึก เรียกกันว่า“อลัชชี” แปลตามศัพท์ว่า ผู้ไม่มียางอายที่ผมสาธยายมาอาศัยภูมิเด็กวัดเก่ารู้จักทางพระบ้าง ส่วนทางโลกนั้น คงเป็นอีกเรื่องใครจะดื้อจะสู้อยู่ต่อไป แค่ไหนอย่างไร...จะยอมลาออกหรือไม่ เป็นเรื่องการเมือง ไม่เกี่ยวกับเรื่อง“ไม่มียางอาย”แต่ประการใด.กิเลน ประลองเชิง