“ฉันคิดว่าสิ่งที่ได้พบเจอในครั้งนี้เลวร้ายยิ่งกว่า ตอนสงครามโลกเสียอีก” คัตสุโกะ อาโอคิ คุณยายวัย 79 ปี จากเมืองฮิราโน ผู้อพยพจากพื้นที่ใกล้เคียงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะ ไดอิจิ ในรัศมี 20 กิโลเมตรกล่าวความในใจ

อาโอคิ เล่าให้ฟังว่า คนจำนวนมากสูญเสียบ้านไป เธอเองก็เช่นกัน และต้องย้ายมาอยู่ในเขตบ้านพักชั่วคราวพื้นที่คับแคบที่รัฐบาลจัดไว้ให้ในเมืองอิวากิ ห่างจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ราว 45 กิโลเมตร

การเข้ามาอยู่ที่นี่คือ การถอนรากออกมาจากชุมชนเดิมที่ไม่สามารถอยู่อาศัยได้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากรังสีนิวเคลียร์ ในพื้นที่ใหม่ไม่มีพื้นที่เพาะปลูก จากที่เคยปลูกข้าวปลูกมันกินเองในพื้นที่ 300 ตารางเมตร กลับต้องซื้อของที่คนอื่นปลูก และท่ามกลางความหวาดกลัวเรื่องรังสี... ทุกครั้งที่ซื้อพืชผักผลไม้

คุณยายอาโอคิจะต้องไถ่ถามเรื่องสถานที่ปลูกว่าต้องไม่ได้มาจาก “ฟูกูชิมะ

นี่เป็นเพียงหนึ่งในตัวอย่างของชีวิตเล็กๆ ที่ได้รับผลกระทบหลังเหตุการณ์ภัยพิบัติเมื่อ 11 มีนาคม 2554 ที่เริ่มต้นมาจากแผ่นดินไหว 9 ริกเตอร์ ตามติดด้วยคลื่นยักษ์สึนามิและอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะ

เรียกว่าเป็น “ภัยพิบัติซ้ำซ้อน” รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น

มอง “ญี่ปุ่น”...แล้วย้อนมอง “ประเทศไทย” กับกรณี “เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์” ที่อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก

...

ผศ.นพ.สุธีร์ รัตนะมงคลกุล หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ มศว องครักษ์ บอกว่า เมื่อต้นปี 2562 ชาวบ้านมาเล่าให้ฟังว่าทางสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ องค์การมหาชน (สทน.) ได้ทำเวทีประชาพิจารณ์ครั้งที่ 1 ไปแล้วจากทั้งหมด 3 ครั้ง อยากจะตั้งคำถามดังๆ ว่า...

“ถ้ารัฐบาลจะมาสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่ข้างๆ บ้านของท่าน ท่านจะรู้สึกอย่างไร เพราะจุดที่ตั้งของเตาปฏิกรณ์ที่จะสร้างที่อำเภอองครักษ์นั้นอยู่ห่างจากบ้านผมไปไม่ถึง 5 กิโลเมตรเท่านั้นเอง

ผมย้ายเข้ามาอยู่องครักษ์เมื่อ 16 ปีที่แล้วเพื่อมาเป็นอาจารย์ที่คณะแพทยศาสตร์ มศว องครักษ์ รู้สึกดีใจภูมิใจว่าได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ คนกรุงเทพฯนั่งรถแค่ชั่วโมงกว่าๆ ก็ได้เล่นน้ำตก ได้ล่องแก่ง ได้ชมเขื่อน ได้สูดออกซิเจนบริสุทธิ์ที่ตีนเขาใหญ่แล้ว”

ไม่นึกไม่ฝันว่าโครงการสร้าง “เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์” ที่เคยล้มเลิกไปแล้วจะฟื้นคืนชีพกลับมาใหม่ และตั้งใกล้บ้านผมเอง ใครจะยอมก็ช่างแต่ผมไม่ยอม

เมื่อ ผศ.นพ.สุธีร์ เริ่มศึกษาทำความเข้าใจแล้วก็เริ่มปฏิบัติการคัดค้าน แม้มีเสียงจากโซเชียลมีเดียมาว่า...“เค้าต่อต้านอะไรอะ ไอ้เตาที่นครนายกมันก็เหมือนที่ข้าง ม.เกษตรฯไม่ใช่หรอ เค้าไม่ได้สร้างโรงไฟฟ้า หรือสร้างระเบิดซะหน่อย ยิ่งบอกว่าคนนำต่อต้านเป็นหมอ ยิ่งงง หรือเค้ามีข้อมูลเชิงลึกว่า คนที่อยู่แถวๆ ข้าง ม.เกษตรฯเป็นมะเร็งกันทุกคน”

ทว่า...ในความเป็นจริง สิ่งที่เขาพูดถูกคือ “เตาปฏิกรณ์” ที่จะสร้างนี้ไม่ใช่ “เตาปฏิกรณ์โรงไฟฟ้า” แต่เป็น “เตาปฏิกรณ์วิจัย” แน่นอนว่า หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่าแล้วมันต่างกันอย่างไร?

ในฐานะแพทย์ขออธิบายง่ายๆ ว่า...เวลาเกิดปฏิกิริยาทางนิวเคลียร์จะเกิดเป็นผลสามสิ่งคือ ตัวความร้อน นิวตรอน หรือไอโซโทป และกากนิวเคลียร์ หากเรานำความร้อนไปต้มน้ำ เอาไอน้ำไปดันเครื่องปั่นไฟก็จะได้เป็นเตาปฏิกรณ์โรงไฟฟ้า (power reactor)

แต่...ถ้าทำที่ดักจับเฉพาะ “นิวตรอน” หรือ “ไอโซโทป” ก็จะได้ เป็นเตาปฏิกรณ์วิจัย ซึ่งคำว่า “เตาปฏิกรณ์วิจัย (research reactor)” เป็นชื่อรวมๆ ของเตาปฏิกรณ์ที่ผลิตสารรังสีเพื่อที่จะวิจัยก็ได้ หรือนำไปเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจก็ได้ ไม่ว่า...จะเป็นทางการแพทย์ อุตสาหกรรม หรือการเกษตรกรรม

ตั้งข้อสังเกตว่า...“เตาปฏิกรณ์วิจัย” น่าจะเป็นการใช้คำของนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ต้องการทำให้ชาวบ้านตกใจ ส่วนเตาปฏิกรณ์โรงไฟฟ้านั้น มีคนบอกมาว่า หลังจากเกิดเหตุโรงไฟฟ้าระเบิดที่ฟูกูชิมะประเทศญี่ปุ่น ประเทศไทยเลยพับโครงการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไปก่อนจนถึงปี 2036

ทีนี้ก็มีหลายๆ คำถามตามมาว่า...ในเมื่อเขาไม่ได้สร้าง “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์” แล้ว ในฐานะที่เป็นหมอก็รู้เรื่องรู้ราวดี แล้วจะกลัว กังวลเรื่องอะไร?

...

ประเด็นสำคัญข้อที่หนึ่ง...เริ่มต้นจากคำถามที่ว่า เราจำเป็นต้องสร้างเตาปฏิกรณ์วิจัยแห่งนี้จริงๆ แล้วจริงๆ เราต้องการอะไรจากการสร้างเตาปฏิกรณ์วิจัย เพราะในเอกสารของการทำประชาพิจารณ์บอกว่าจะนำสารกัมมันตรังสีไปใช้ เพื่อการแพทย์ อุตสาหกรรม หรือ การเกษตรกรรม

นั่นก็หมายความว่า...เราต้องการ “สารรังสี” หรือภาษาวิทยาศาสตร์คือ “ไอโซโทป”...เพื่อนำไปใช้ประโยชน์เพื่อให้เกิด “มูลค่าทางเศรษฐกิจ”

เน้นย้ำว่า...คนองครักษ์ คนไทยทั้งประเทศต้องแยกให้ออกระหว่าง 2 สิ่งคือ “การมีเตาปฏิกรณ์”...“การได้สารไอโซโทป” เพราะว่าสารไอโซโทปสามารถได้จากแหล่งทางอื่นที่ไม่จำเป็นต้องใช้เตาก็ได้

ในปัจจุบันก็ทำกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานปรมาณูที่คลอง 5 อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ที่สำนักงานที่บางเขน กรุงเทพฯ หรือแม้ที่องครักษ์ก็ทำสิ่งเหล่านี้ได้อยู่แล้ว

หรือแม้แต่โรงพยาบาล ขณะนี้โรงพยาบาลใหญ่ๆ ก็มีศักยภาพในการสร้างสารไอโซโทปได้แล้ว ทั้ง รพ.จุฬาลงกรณ์มี KCMH Proton Center ที่ รพ.จุฬาภรณ์มี National Cyclotron and PET Centre และรวมถึงที่ รพ.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งทาง สทน.เองก็กำลังก่อสร้างเครื่อง Cyclotron จำนวนมากในพื้นที่ต่างๆ ทั้งประเทศ

เหล่านี้สะท้อนให้เห็นความจริงที่ว่า...ความจำเป็นน่าจะไม่มากมาย ซึ่งมีราคาหลักร้อยล้านบาทเท่านั้น ไม่ใช่มูลค่า 16,000 ล้านเหมือนกับเตาปฏิกรณ์ที่ต้องการจะสร้าง

...

ผศ.นพ.สุธีร์ ย้ำว่า ข้อดีของเครื่อง Cyclotron คือไม่ต้องมี “กากนิวเคลียร์” ให้เป็นปัญหาว่าจะเอาไปเก็บที่ไหน เพราะหากวันใดวันหนึ่งประเทศต้นทางบอกว่าไม่รับกลับคืน ค่าใช้จ่ายในการฝังกลบใต้ดินลึก 300 เมตรจะเป็นอย่างไร อีกทั้งยังเกิดคำถามสำคัญเชื่อมโยงว่า...เราวิจัยไปทำอะไร ในเมื่อเทคโนโลยีนิวเคลียร์ใหม่ๆ ที่ปลอดภัยกว่าเกิดขึ้นทุกวันออกมาแล้ว?

ประเด็นน่าสนใจ พบข้อมูลจากสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติบอกว่า โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งห่างจากองครักษ์ไปไม่ไกล มีความต้องการใช้วัสดุนิวเคลียร์สูงถึงร้อยละ 25 ของการใช้งานทั่วประเทศ นั่นก็หมายความว่า การสร้างเตาปฏิกรณ์แห่งนี้นั้นก็เพื่อตอบสนองต่ออุตสาหกรรมนิวเคลียร์เป็นหลัก

“ประเทศไทยเรามีเตาปฏิกรณ์ที่บางเขนขนาด 2 เมกะวัตต์มา 50 ปี...เรายังมีปัญหาไม่มีที่เก็บกากรังสี ถึงขนาดหลบๆ ซ่อนๆ ไม่บอกชาวองครักษ์มาถึง 10 ปี แล้วถ้าเราสร้างเตาใบใหม่ขนาดใหญ่กว่าเดิม 10 เท่า...เราจะเอากากรังสีไปเก็บไว้ที่ไหนกัน”

โครงการสร้าง “เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์” อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ได้เดินทางมาถึงการรับฟังความเห็นครั้งสุดท้าย โดยที่ชาวบ้านจะต้องบอกว่า “ยอมรับ” ผลของการรับฟังความเห็นที่ผ่านมาหรือไม่ ในวันที่ 19 และ 21 กันยายน 2563 นี้ ถ้า “คนนครนายก” ยอมรับ... โครงการก็เดินหน้าสู่การของบประมาณต่อไป...

ปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือว่ายากแล้ว อันตรายจาก “นิวเคลียร์” ป้องกันได้ยากกว่าหลายเท่านัก.