“น้องคนหนึ่งเขียนมาเล่าให้ฟัง ปลายปีที่แล้ว...อาจารย์ครับ ผมเป็นหมอ ทำงานที่ รพช.แห่งหนึ่งใน จ. ...ผมเพิ่งจะเขียนใบลาออกจากราชการหลังจากทำงานมา 6 ปีครับ...”สาเหตุที่ออกเพราะต้องอยู่เวรหนักมากครับ ทำงานต่อเนื่อง เวรวันหยุดตรวจเป็นร้อยครับอาจารย์ ดูคนไข้ OPD ER ราวนด์ วอร์ดคนเดียวทั้งโรงพยาบาลครับ...แล้วเคสที่มาส่วนมากก็ “หวัด”คือ...เป็นไข้ 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมง แล้วมาให้เราตรวจ ขณะที่ยังมีเคสฉุกเฉินจริงที่เราต้องตรวจด้วย...พอมานอกเวลาราชการต้องเข้าฉุกเฉินหมด ซึ่งไม่ฉุกเฉินคิดเป็นร้อยละ 90 ของทั้งหมด“...ผมรู้สึกแย่มากครับอาจารย์ เหนื่อยมาก แทบจะหายใจไม่ออก มันจุกมันแน่นไปหมด มีแต่ถามตัวเองซ้ำๆว่าทำไมเราต้องรับทุกอย่าง ทนไปทำไม ในเมื่อเอกชนที่สบายกว่า รายได้ดีกว่ามีเยอะแยะ”...ผมเห็นด้วยว่าระบบกำลังจะล่มครับ แรกเริ่มเดิมทีผมตั้งใจจะอยู่ รพช.ตลอดไป เพราะเป็นบ้านเกิดผม...แต่ตอนนี้ความคิดผมเปลี่ยนไปแล้วครับ ความรู้สึกหลังจากยื่นใบลาออกรู้สึกโล่งมากครับ“ไม่รู้จะทนไปทำไม...ผมป่วยเป็นเส้นเลือดดำในตาตันที่ตาซ้าย ความดันลูกตาสูง...ผมคิดว่าทั้งหมดเพราะสุขภาพที่ย่ำแย่ ไม่ได้นอน เครียดจากงาน จากทุกสิ่ง...ผมคงพอแค่นี้แหละครับกับระบบแย่ๆแบบนี้ ประชาชนไม่ดูแลสุขภาพตัวเองเบื้องต้น...ขอบคุณอาจารย์ที่รับฟังครับ ผมได้หลุดพ้นแล้วครับ”เรื่องราวข้างต้นถูกโพสต์ไว้เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมานี้เอง ในเฟซบุ๊กเพจ “ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha”นานาทัศนะทะลักล้น...ยกตัวอย่างคัดลอกมาให้อ่านเป็นกษัยจากผู้ใช้นามว่า “ตะกอนนอนก้น ห้ากวน” เธอว่า...เข้าใจคุณหมอค่ะ คนไทยก็ไม่รู้จักดูแลสุขภาพเบื้องต้น คนจนอยากดูแลสุขภาพอยู่ แต่ติดขัดหลายอย่าง ความรู้เกี่ยวกับโทษของยาก็ไม่มี อาหารหลัก 5 หมู่ก็ไม่ครบไม่รู้หมู่ไหนเป็นหมู่ไหนถัดมา...“Pamoo Happywealth” สะท้อนมุมคิดที่ว่า คนไทยส่วนมากแล้ว...ไม่ว่ารวยหรือจน...จะติดในรสชาติของความอร่อย...ไม่คำนึงถึงความเจ็บป่วยหรือความตาย...บางครั้งคนที่ป่วยอยู่ยังติดตรงรสชาติ...เขาก็สมควรทนให้ได้ต่อสิ่งนั้นๆ...ไม่มีใครจะชี้นำได้หรอกเมื่อเขายังไม่รักตัวเอง...“พวกที่เป็น...ไขมัน...ความดัน...เบาหวาน...มะเร็ง...ทุกอย่างเราดูแลตัวเอง...บางครั้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขก็ยังดูแลตัวเองไม่ได้...แล้วชาวบ้านจะไปเชื่อใครล่ะ” และ “Suachi Thanam” ผมคนนึงก็ผ่านอารมณ์แบบน้องหมอคนนี้มาแล้ว...มันเหนื่อย มันเครียด มันกดดัน มันทำงานไม่มีความสุข สุขภาพย่ำแย่...ผมก็ลาออกมาแล้ว มันรอวันล่มสลายจริงๆเสียดแทงใจสะท้อนความเป็นจริง “Chartchai Pi” อีกเสียงที่ยืนยัน... หมอก็งานหนัก คนป่วยก็เสียเวลาไปเป็นวันกับการรอพบหมอ 3 นาที มันต้องมีอะไรที่ต้องปรับปรุงให้ดีกว่านี้ หน้าที่ใคร มีใครเกี่ยวข้องบ้าง“Varathit Chan” ตอบกลับในมุมคิดที่ว่า “ระบบ” ต้องปรับปรุงให้ก้าวให้ทัน เช่น ผู้ป่วยเบาหวานต้องไปรอเจาะเลือด รอหมอตรวจ รอรับยาเต็มโรงพยาบาลต่างๆ ในแต่ละพื้นที่น่าจะสำรวจพื้นที่ผู้ป่วยแล้วจัดรถออกเจาะเลือดตามหมู่บ้าน ตามศูนย์ชุมชน ตามนัดในแต่ละพื้นที่ (สอง...สามเดือนครั้ง)“รวบรวมเลือดมาตรวจที่ห้องแล็บโรงพยาบาล ส่งผลตรวจให้หมอวินิจฉัย สั่งยา ห้องยาเตรียมยาเป็นชุดให้ผู้ป่วยตามที่หมอสั่ง อีกหนึ่งสัปดาห์ให้รถออกไปจ่ายยาให้ผู้ป่วยตามศูนย์ชุมชน...อาจให้หมอประจำบ้านออกตรวจอาการอื่นๆด้วย ทำแบบนี้ได้จะลดจำนวนผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องไปรอใน รพ.เยอะมาก”ถึงตรงนี้คงต้องมองไกลๆยาวๆไปถึงอนาคต...“ข้อเสนอจากแพทย์ จบใหม่” ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หรือ “หมอดื้อ” คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาฯ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือตระหนักถึงปัญหา “หมอแพทย์” ใช้ทุน “ลาออก” ไม่อยู่ใช้ทุนในโรงพยาบาลชุมชนในปีต่อๆไป หรือลาออกเสียตั้งแต่ก่อนจบปีแรกมาเกิน 10 ปีแล้วแต่...การแก้ปัญหายังไม่มีความชัดเจน เพิ่มค่าตอบแทนน้อยนิด อยู่ในระบบต่อไปค่าตอบแทนก็ไม่ต่างเท่าไหร่ ลาออกกันมากขึ้นเรื่อยๆ หมอในระบบน้อยลง ไม่สามารถพัฒนาสาธารณสุขท้องถิ่นได้ สุดท้าย...“หมอ” ที่ยังอยู่ก็ต้องรับ “ภาระ” มากขึ้น...เป็นวงจร ถ้าไม่ตัดวงจรนี้ก็ไม่สามารถทำให้ปัญหาดีขึ้นได้หนึ่ง...สาเหตุหลักคือเวลางานที่หนักเกินไป สังคมเปลี่ยนไป หมอก็อยากมีชีวิตดีๆบ้าง ต้องยอมรับว่ามาเป็นหมออยากช่วยคน แต่จะให้เสียสละทั้งชีวิต น้อยคนจะยอม...ต้องออกเป็นกฎทั่วประเทศเหมือนกัน ว่าห้ามทำงานเกินกี่ชั่วโมงต่ออาทิตย์...รวมการไปทำเอกชนด้วย ไม่ใช่พอให้ทำน้อยลงก็ไปรับเอกชน สุดท้ายก็ทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพอยู่ดี ห้ามทำติดต่อกันเกิน 24 ชั่วโมง บังคับให้ได้หยุดในวันหยุด (unsociable hour) อย่างน้อยครึ่งหนึ่งต่อเดือน...ปัญหาที่จะเจอคือ หมอไม่พอเพราะเวลางานลดลง ต้องจัดการหาเงินมาว่าจ้างหมอชั่วคราวมาช่วยในชั่วโมงที่หาคนทำงานไม่ได้ เก็บข้อมูลว่าจำเป็นต้องมีหมอเพิ่มอีกเท่าไหร่จึงจะสามารถดำเนินการต่อได้โดยไม่ต้องจ้างชั่วคราวในอนาคต และวางแผนรับเพิ่มในระยะยาวสอง...แบกรับความรับผิดชอบสูงเกินไป เพราะคิดว่าเดี๋ยวต้องไปอยู่ชุมชนต้องทำเป็นทุกอย่าง หมอหนึ่งคนไม่สามารถเก่งทุกอย่างได้ โดยเฉพาะใน 5 ปีหลังมีการตั้งเกณฑ์คุณภาพในการรักษาดูแลคนไข้สูงมากเนื่องจากข้อมูลทางการแพทย์ที่เยอะขึ้นอย่างก้าวกระโดดจึงทำให้ต้องอ่านทบทวนอยู่ตลอดเวลา และความรู้ของคนไข้กับญาติสูงขึ้นจึงจำต้องอธิบายและตอบคำถามเป็นเวลานาน จึงเป็นระบบที่ไม่เอื้ออำนวยต่อสุขภาพจิตการกระจายอำนาจ ยกระดับ รพ.ชุมชนให้มีระบบชัดเจนมีคนบริหารมีหมอเพิ่มเช่นหมอเวชศาสตร์ครอบครัวที่มีความสนใจพิเศษเฉพาะด้านๆไป...ยังได้ข้อดีในการทำการส่งเสริมสุขภาพท้องถิ่นและสนับสนุนการป้องกันทั้งระดับปฐมภูมิ...ทุติยภูมิ ป้องกันโรคก่อนจะเป็น...ตรวจคัดกรองโรคตั้งแต่ยังไม่แสดงอาการที่เข้มแข็งขึ้น...เพิ่มปีการใช้ทุนและเพิ่มปีการเรียนเฉพาะทาง แต่ต้องทำให้ระบบน่าอยู่ต่อ พอจบแล้วก็อยากอยู่ทำงานในโรงพยาบาลรัฐต่อ เช่น ใช้ทุนที่บ้านเกิดตนเอง เพื่อที่อยากจะพัฒนาสุขภาพชุมชนที่ตนเองเกิดมาไม่ใช่บ้านอยู่จันทบุรี แต่โดนส่งไปแหลมฉบังเพราะจับสลาก นอกจากนั้นเพิ่มเงินเดือนตามจำนวนปีที่อยู่ให้สูง เพื่อที่จะอยู่ได้โดยสามารถเลี้ยงครอบครัวได้...ลดจำนวนที่ใช้ทุนแล้วเรียนเฉพาะทางจบก็ลาออกไปทำเอกชน สาม...ความเสี่ยงสูงโดนฟ้องร้องสูง เสียความรู้สึก เลือกเรียนสาขาที่ไม่เสี่ยง เช่น ผิวหนัง จักษุ หรือเสริมความงาม ซึ่งสามารถเลือกเวลางาน ไม่มีฉุกเฉินและค่าตอบแทนสูง ไม่ว่าจะเป็น...เรื่องจากพักผ่อนไม่พอแก้ไปในข้อแรก หรือ...มีความชัดเจนในการปกป้องหมอ กำจัดกลุ่มเอาเปรียบระบบโดยมาตรการเด็ดขาด...มีความชัดเจนในการดูแลช่วงบั้นปลายชีวิตคนไข้ เรื่องการสอดท่อช่วยหายใจ การให้ยากระตุ้น การปั๊มหัวใจเหล่านี้คือ “การรักษา” แพทย์ต้องเป็นคนตัดสินใจ แต่ต้องมีการคุยอธิบายกับคนไข้และญาตินับรวมไปถึง...เพิ่มค่าตอบแทนสูงสุดในสาขาขาดแคลน เช่น ศัลยกรรมสมองนโยบายระบบสุขภาพ “ประเทศไทย”...มีผลเกี่ยวโยงกระทบโดยตรงกับสิทธิบริการสุขภาพของ “คนไทย” ทุกคน “หมอ...บุคลากรทางการแพทย์” เป็นฟันเฟืองสำคัญในผลลัพธ์สุขภาพคนไทยที่เกิดขึ้น“ไม่มีสาธารณสุขที่ดี ก็ไม่มีเศรษฐกิจที่ดี คนป่วยทำงานไม่ได้ ป่วยหนักไม่มีที่พึ่ง ลูกหลานที่ทำงานได้ก็ต้องมาดูแล และออกจากงาน” ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา กล่าวทิ้งท้าย.