“หัวโขน” เป็นงานหัตถศิลป์โบราณกรุงสยามนานกว่าศตวรรษที่ช่างผู้ผลิตงานจะต้อง ใช้เวลาฝึกและศึกษาจนเกิดความชำนาญ ให้สามารถสร้างหัวโขนได้อย่างงดงามประณีตบรรจง สมค่าราคามรดกศิลปกรรมไทยการประดิษฐ์หัวโขนเป็นศิลปะชั้นสูงเพื่อใช้ในการแสดงโขนชุดรามเกียรติ์ ซึ่งเดิมทีมีเฉพาะภายในราชสำนัก ถวายหน้าพระที่นั่งกับพระบรมวงศานุวงศ์ ต่อมาถึงได้ออกมาเผยแพร่สู่ภาคประชาชนให้ได้เห็นคุณค่าทางวัฒนธรรมไทยสืบทอดกันมาถึงปัจจุบันหัวโขนที่ใช้ในการแสดงโขนนั้น มีหน้าพระอย่างพระลักษมณ์ พระราม หน้ายักษ์อย่างทศกัณฐ์กับเหล่าบริวาร และพญาวานรอย่างหนุมานพร้อมพลพรรค รวมแล้วกว่า 100 หน้า ที่มีความสำคัญด้วยกันทุกหน้า ครูช่างจึงต้องเคารพบูชาก่อนลงมือปั้นหุ่นต้นแบบ...ด้วยหัวโขนเป็นเครื่องประกอบครอบเหนือศีรษะ การผลิตหัวโขนแต่ละหัวที่เคยมีมาแต่โบราณ จึงไม่ข้ามผ่านการประกอบพิธีกรรมก่อนคิดจะสร้างสรรค์งานขึ้นมาหนังสือชื่อ “หัวโขนสมบัติศิลป์แผ่นดินไทย” จัดทำโดยกลุ่ม บ.ยูคอม จำกัด ได้กล่าวถึงกระบวนการทำหัวโขนรูปหน้าครูพระภรตฤาษีและพระพิราพซึ่งถือว่าอยู่เหนือสูงสุด โดยทุกครั้งก่อนลงมือปั้นหุ่นช่างปั้นจะต้องไปหาดินจาก 7 ป่าช้า และให้ขุดช่วงวันแรงตามหลักโหราศาสตร์และไสยศาสตร์... คือ...วัน “อังคาร” หรือ “เสาร์” มาใช้ในการปั้นนอกจากนี้ ให้ไปหาดินอีก 7 ท่าน้ำ และดินจอมปลวกมาผสมให้เพียงพอที่จะปั้น...ขณะเดียวกันต้องเตรียมเครื่องเซ่นประกอบพิธี ได้แก่ ข้าวพล่า ปลายำใส่กระทงใบตองไปวางไว้ยังจุดที่จะเอาดินมาเซ่นบูชาระหว่างขออนุญาตปั้น...อีกทั้งวันปั้นถือฤกษ์ “วันครู” คือพฤหัสบดี โดยถือโชคลางปั้นให้เสร็จในวันเดียว ผู้ปั้นก็ให้นุ่งขาวห่มขาวกับจัดตั้งศาลเพียงตาวางเครื่องบูชาเทวดาและครูช่างที่ล่วงลับ...เมื่อปั้นเสร็จต้องรอจนกว่าจะแห้งจึงใช้กระดาษพอก ห้ามผึ่งแดดหรืออังไฟให้แห้งเด็ดขาด“นี่เป็นกรรมวิธีที่ทำกันสมัยก่อน แต่ทุกวันนี้หันมาใช้ปูนปลาสเตอร์หรือปูนซีเมนต์แทนดิน สามารถเก็บหุ่นไว้พอกใหม่ได้นานอีกหลายหัวการประกอบพิธีบูชาแบบโบราณจึงค่อยๆหายไปไม่เหมือนแต่ก่อน” วิโรจน์ วรปัญญาเวทย์ ศิษย์ผู้สืบสานงานหัตถศิลป์หัวโขน จากครูช่าง ม.ล.พันธ์สวัสดิ์ ศุขสวัสดิ ที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน และเป็นทายาทครูช่างระดับปรมาจารย์แห่งราชสำนักไทย คือ ม.ร.ว.จรูญสวัสดิ์ ศุขสวัสดิ ย้ำว่า สำหรับพิธี “เบิกพระเนตรหัวโขน” ยังเป็นศาสตร์จำเป็นที่ครูช่างทุกคนต้องทำก่อนนำไปใช้ในยุคนี้...พิธีเบิกพระเนตรหน้าพระภรตฤาษี จะบูชาด้วยเครื่องนอนตอง มีหมู 3 ชั้น 1 ชิ้น กุ้ง ปูทะเล ปลาช่อนนึ่ง อาหารทุกชนิดจะถูกรองด้วยใบตองเป็นที่มาของเครื่องนอนตอง แล้วยังมีน้ำจิ้ม น้ำพริก ผลไม้ชื่อมงคลกล้วยน้ำว้า มะพร้าวอ่อน ขนุน องุ่น ชมพู่ เงาะ ส้ม ส่วนชื่อไม่เป็นมงคล เช่น ละมุด มะเฟือง มะไฟ ระกำ มังคุด ห้ามนำมาใช้พิธีจะทำกันลานกลางแจ้งมีแสงสว่าง วิโรจน์ ย้ำด้วยว่า ถ้าบูชาด้วยเครื่องชุดใหญ่ ต้องมีเหล้า หมากพลู หรือกรณีพระพิราพมีโรตีมะตะบะเพิ่ม...การเบิกพระเนตรจะทำกันวันพฤหัสบดีหรือวันอาทิตย์ หลังการเซ่นไหว้แล้วครูช่างจะยกหัวโขนขึ้นมาเจิมด้วยดินสอพองผสมน้ำอบไทยลงไปบริเวณด้านในหัวโขน ขณะเดียวกันก็ท่องคาถา “มงกุฎพระพุทธเจ้า” ตามพระคัมภีร์ในศาสนาพุทธว่า “อิติปิโส วิเสเสติ อิเมนา พุทธตังโสอิ อิโสตัง พุทธปิติอิ” ไปด้วย...จากนั้นจะเป็นพิธีเปิดตาซ้ายขวาให้เห็นโลกสว่าง และเปิดปากให้ได้พูดจาไปพร้อมกัน แล้วท่องคัมภีร์คาถาอีกครั้ง “สหัสสะเนตรโต เทวินโว ทิพยจักรขุง วิโสทะยิก” เป็นอันเสร็จพิธี สำหรับครูช่างผู้กระทำพิธีเบิกพระเนตร เช้าวันรุ่งขึ้นยังต้องทำบุญตักบาตรอุทิศบุญกุศลให้แก่ครูช่างผู้ล่วงลับ ตามหลักกตัญญูกตเวทิตาในอดีต “หัวโขน” ที่สร้างเสร็จแล้วแต่ไม่ได้ผ่านพิธีเบิกพระเนตร จะถูกเรียกว่า “หัวโขนตาบอด” ผู้ใดนำไปครอบครองอาจได้รับภัยพิบัติถึงตัวเองหรือคนใกล้เคียงได้ วรลักษณ์ ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา บุตรี ม.ล.พันธ์สวัสดิ์ผู้สืบทอดงานหัวโขน อยู่ที่บ้านหัวโขน หมู่ 1 ถ.อู่ทอง ต.ท่าวาสุกรี อ.เมืองพระนครศรีอยุธยา บอกว่า ต่อมาเมื่อหัวโขนกลายเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน มีการนำไปใช้เพื่อการอื่น เช่น ประดับตกแต่งภายในสถานที่ต่างๆ ถ้าเป็นหัวโขนที่ไม่ใช่หน้าครูสำคัญ ก็จะทำกันเพียงจุดธูปเทียนบูชาก่อนนำไปใช้เพื่อความเป็นสิริมงคล ก็จะไม่เกิดภัยใดๆ“หัวโขนที่ผ่านมือครูช่างทุกหัวเหมือนมีจิตวิญญาณแฝงไว้กับดินสอพองผสมน้ำอบไทยที่เจิมเอาไว้ ซึ่งอาจแสดงปาฏิหาริย์บางอย่างให้เห็นหรือรู้สึกจากสัมผัส...เคยมีเด็กแอบเอาชิ้นส่วนหน้าครูหัวโขนมาทัดหู สักพักเด็กเกิดเป็นลมล้มชักแบบไม่มีสาเหตุ จนมีคนรีบมาขอขมาเด็กถึงฟื้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”คนที่นำ “พ่อแก่” (ฤาษี) ไปบูชาไว้ในบ้าน บ่อยครั้งรู้สึกเหมือนพ่อแก่มาเดินอยู่รอบๆบริเวณบ้าน และฝันเห็นแต่สิ่งดีๆที่พ่อแก่มีให้ ส่วนคนจิตอ่อนได้ไปแต่ไม่สนใจบูชา ผลตามมาคือเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรงนอนไม่หลับ ต้องเอากลับมาคืนครูอาการปวดจึงจะหายไป“เคยมีพ่อค้าจีนฐานะดีเชิญหัวโขนหน้าฤาษีกไลโกฏิ ซึ่งถือเป็นพระฤาษีที่มีตบะสูงสุดในหมู่พระฤาษีร้อยแปด ไปบูชาไว้ในตู้กระจกปิดประตูแน่นหนาและถือกุญแจไว้เพียงคนเดียว วันหนึ่งเขามีงานต้องไปต่างประเทศ พอกลับมาปรากฏว่า หน้าฤาษีที่เคยมองตรงกลับมองเอียงทำมุม 45 องศา หันไปหาประตูห้องอย่างน่าอัศจรรย์ เหมือนระวังภัยให้เจ้าของบ้าน” ทั้งหมดเหล่านี้เป็นปาฏิหาริย์ที่เกิดจาก “ศาสตร์” และ “ศิลป์” ของงานหัตถศิลป์หัวโขนไทย ซึ่งมักให้ “คุณ” แก่ทุกผู้ที่นิยมนับถือศรัทธา และให้ “โทษ” กับมนุษย์ทุกคนที่อคติคิดลบหลู่ไร้บูชา“ศรัทธา” นำมาซึ่ง “ปาฏิหาริย์” เชื่อไม่เชื่ออย่างไรโปรดอย่าได้ “ลบหลู่”.รัก-ยม