“ตลาดผู้บริโภคข้าวเริ่มเปลี่ยน จากต้องการข้าวหอมนุ่ม กินอิ่ม วันนี้นอกจากอิ่ม กินแล้วต้องไม่อ้วน ไม่เสี่ยงต่อโรคภัย จากการสำรวจความต้องการทั้งตลาด เราจึงกลับมาศึกษาว่า มีข้าวไทยสายพันธุ์ไหน ที่ตอบโจทย์นี้ได้บ้าง”

ไตรรัตน์ อุดมศรีโยธิน รองกรรมการผู้จัดการธุรกิจข้าว (พัฒนาวัตถุดิบต้นน้ำ) บ.ซี.พี. อินเตอร์เทรด จำกัด เล่าถึงที่มาของความร่วมมือระหว่าง ข้าวตราฉัตร–กรมส่งเสริมการเกษตร–เครือข่ายชาวนา คัดเลือกเกษตรกรเข้าร่วมโครงการแปลงใหญ่ข้าวประชารัฐ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี เพื่อส่งเสริมปลูกข้าว กข 43 ข้าวพันธุ์น้ำตาลน้อยช่วยลดโรคเบาหวาน ในพื้นที่ 5,000 ไร่

“ชาวนาสุพรรณบุรีเก่ง ทำนาประณีต ยอมรับการเรียนรู้เทคโนโลยีสมัยใหม่ จึงปลูกข้าวได้คุณภาพ อย่างพื้นที่เดิมบางนางบวช โดยทั่วไปจะปลูกข้าวหอมปทุมธานี 1 ฉะนั้นเกณฑ์การรับซื้อข้าวจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการปลูกข้าว กข 43 บริษัทจะใช้ราคาตลาดข้าวหอมปทุมธานีเป็นเกณฑ์ในการรับซื้อ โดยให้ราคาประกันข้าว กข 43 ค่าความชื้น 14% ตันละ 12,000 บาท”

...

ส่วนมาตรการควบคุมข้าว กข 43 ไม่ให้มีปัญหาล้นตลาด และได้ข้าวมีคุณภาพไม่ผิดเพี้ยนไปจากงานวิจัย ไตรรัตน์ บอกว่า บริษัทจะใช้วิธีรับซื้อเมล็ดพันธุ์โดยตรงจากกรมการข้าว แล้วส่งต่อให้ชาวนาที่เข้าร่วมโครงการ...นอกจากจะได้เมล็ดพันธุ์คุณภาพเต็ม 100% ยังสามารถควบคุมปริมาณข้าวไม่ให้มีมากเกินความต้องการของตลาด เพื่อพยุงราคาไม่ให้ตกต่ำ

ด้าน นายมงคล ใจบริสุทธิ์ ชาวนาในโครงการ บอกว่า เมื่อ 2 ปีก่อน กรมการข้าวแนะนำว่ามีข้าวพันธุ์ กข 43 หุงสุกแล้วจะนุ่มมีกลิ่นหอม กินแล้วไม่ทำให้น้ำตาลขึ้น จึงปรับพื้นที่ 1 ไร่ ทดลองปลูกไว้กินเอง และศึกษาการดูแลจัดการให้ได้ข้าวคุณภาพ เริ่มแรกต้องไถปรับพื้นที่ตากแดด ล่อให้วัชพืชกับเมล็ดข้าวที่ตกค้างงอก แล้วไถซ้ำหมักดิน วิธีนี้ช่วยไม่ให้มีข้าวพันธุ์ปน ขณะปลูกหมั่นสำรวจแปลงนาเก็บข้าวดีด ข้าวปนออก ใช้เวลาปลูก 3 เดือน เก็บเกี่ยวไว ไม่ต้องใช้น้ำมาก

“มาปีนี้หลังรู้ข่าว ข้าวตราฉัตรมาส่งเสริมปลูกข้าวสายพันธุ์ กข 43 จึงสมัครเข้าร่วมโครงการ โดยปรับพื้นที่ 10 ไร่ ผลจากการเข้าร่วมโครงการ ทำให้การจัดการควบคุมแมลงศัตรูพืช การจัดระบบบริหารปิด-เปิดน้ำทำได้ง่าย ไม่ต้องหวั่นข้าวยืนต้นตาย ถึงเวลาขายก็ไม่ต้องกลัวว่าจะได้ราคาเท่าไร เพราะเจ้าหน้าที่โครงการทำสัญญาตกลงราคาตั้งแต่ก่อนปลูก หนนี้คิดว่าจะได้ข้าวไม่ต่ำกว่าไร่ละ 530 กก. น่าจะดีกว่าหนก่อนที่ทำเองได้แค่ 450 กก.”

เพ็ญพิชญา เตียว