ต้นเดือนที่แล้วได้มีการจัดสมัชชาระดับชาติ
ว่าด้วยสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 3 และการรณรงค์วันชนเผ่าพื้นเมือง ประจำปี 2560 ขึ้น ที่คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
โดยมีแนวคิดหลักคือ การทบทวนบทเรียน ข้อท้าทาย และอนาคตชนเผ่าพื้นเมืองไทย ในโอกาส 10 ปีที่รัฐบาลไทยรับรองปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยชนเผ่าพื้นเมือง
บรรยากาศในงานมีผู้เข้าประชุมราว 500 คน เป็นกลุ่มชาติพันธุ์จากทุกภาค หน่วยงานรัฐ นักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชน และสื่อมวลชน ส่วนใหญ่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าตามวัฒนธรรมอันเป็นอัตลักษณ์ ทำให้งานดูมีสีสันงดงาม...อบอุ่นด้วยพลังใจที่ได้มาผนึกกำลังกัน
ช่วงวันแรกมีการแบ่งห้องสัมมนา 7 ประเด็น ได้แก่ 1.เกษตรอินทรีย์ วิถีความมั่นคงทางอาหาร 2.ปฏิบัติการตามนโยบายทวงคืนผืนป่ากับผลกระทบต่อวิถีชนเผ่าพื้นเมือง 3.การศึกษาชนเผ่าพื้นเมืองทางเลือกหรือทางรอด 4.นโยบายลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน และการมีส่วนร่วมของชนเผ่าพื้นเมือง 5.นโยบาย ยุทธศาสตร์ การจัดการปัญหาสถานะบุคคลสำหรับคนไร้รัฐ ไร้สัญชาติ และชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย 6.ศักดิ์ศรีและโอกาสของสตรีชนเผ่าพื้นเมือง 7.การเข้าถึงสิทธิด้านสาธารณสุขของชนเผ่าพื้นเมือง
สำหรับวันที่สองมีเวทีเสวนา “10 ปี ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง บทเรียน ข้อท้าทาย และอนาคตชนเผ่าพื้นเมืองไทย” ให้รู้ข้อมูลพื้นฐานกันก่อนว่านิยาม “ชนเผ่าพื้นเมือง (Indigenous Peoples)” หมายถึง กลุ่มที่มีอัตลักษณ์และวัฒนธรรมเฉพาะ มีจำนวนประชากรขนาดเล็ก
การตั้งถิ่นฐานและวิถีการดำเนินชีวิตผูกพันใกล้ชิดกับธรรมชาติอย่างแนบแน่น ระบบการผลิตและการใช้ทรัพยากรเพื่อการยังชีพเป็นหลัก มีการขัดเกลาทางสังคมบ่มเพาะจนเป็นแบบแผนการดำเนินชีวิตของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์
...
เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมือง 17 ชาติพันธุ์ ร่วมกับองค์กรพัฒนาเอกชนและหน่วยงานรัฐด้านชนเผ่าพื้นเมืองได้ประกาศจัดตั้งเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย (คชท.) เมื่อ พ.ศ.2550 และประกาศให้วันที่ 9 สิงหาคมของทุกปี เป็น...“วันชนเผ่าพื้นเมือง” ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยร่วมกันจัดงานมหกรรมชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทยเป็นครั้งแรก ต่อมาในปี 2553 ได้ประกาศจัดตั้ง “สภาชนเผ่าพื้นเมืองประเทศไทย (สชพ.)” ขึ้น เพื่อทำหน้าที่ประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายและองค์กรที่เกี่ยวข้อง
โดยมีเป้าหมายพัฒนาร่างกฎหมายเพื่อรองรับสถานะและการขับเคลื่อนงานของสภาฯ รวมทั้งการหนุนเสริมการขับเคลื่อนงานของขบวนชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย
กิตติศักดิ์ รัตนกระจ่างศรี ผู้แทนสภาชนเผ่าพื้นเมือง เสนอว่า ประเด็นร้อนของชนเผ่าพื้นเมือง คือ นโยบายทวงคืนผืนป่า กับการเตรียมการประกาศอุทยานแห่งชาติอีก 21 แห่ง ซึ่งผลกระทบต่อความมั่นคงในชีวิตที่อยู่ที่ทำกินของกลุ่มชาติพันธุ์ในภาคเหนือและภาคตะวันออกจึงขอให้รัฐยกเลิกและทบทวนนโยบายที่ยึดที่ดินจากคนจน ซึ่ง พลเอกสุรินทร์ พิกุลทอง ประธานคณะกรรมการแก้ปัญหาที่ดินของชาวกะเหรี่ยงและชาวเลสนับสนุนความคิดนี้ กับกรณีอุ้มหายนายบิลลี่ที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และกรณีวิสามัญฆาตกรรมนายชัยภูมิ ป่าแส ที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งยังไม่มีความคืบหน้า
อังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สะท้อนว่า รัฐบาลไทยยังไม่ยอมรับคำ “ชนเผ่าพื้นเมือง” อาจเพราะกังวลว่า UNDRIP รับรองการแสดงเจตจำนงในการบริหารปกครองตนเอง
“รัฐควรอดทนในการรับฟังอย่างเปิดกว้าง ควรสนับสนุนการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพบนความแตกต่างหลากหลาย ควรสนับสนุนศักยภาพของสตรีชนเผ่า ซึ่งมีความก้าวหน้าขึ้น...คือเป็นครั้งแรกที่ผู้แทนสตรีชนเผ่าได้เข้าร่วมประชุมกติกาว่าด้วยการไม่เลือกปฏิบัติต่อสตรี ที่สำนักงานสหประชาชาติเจนีวาในปีนี้”
เปิดหัวใจรัฐด้วยการรับฟังก่อนที่จะลงลึกถึงปัญหา...การแก้ไข ดร.ไพสิฐ พาณิชย์กุล ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายบริหารและกฎหมาย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เสริมว่า รัฐต้องยอมรับสิทธิชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานมานานในเขตอนุรักษ์ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 60 ที่รับรองสิทธิชนชาติพันธุ์พื้นเมืองเป็นครั้งแรก
“นโยบายทวงคืนผืนป่า” ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ทำให้ประชาชนเดือดร้อน จึงควรยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้...ชนชาติพันธุ์ควรแสดงตนว่ารู้สิทธิของตนเอง พัฒนาระบบข้อมูลเชิงประจักษ์ ข้ามพ้นความกลัวอำนาจรัฐ และสื่อสารให้สังคมเข้าใจกลุ่มชาติพันธุ์อย่างถูกต้อง “เปลี่ยนมุมมองที่มีอคติต่อชนชาติพันธุ์ และเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้รัฐบาลนำหลักการ UNDRIP มาปฏิบัติ โดยองค์กรปกครองท้องถิ่นควรสนับสนุนสภาชนเผ่าพื้นเมืองระดับพื้นที่ได้ทันทีไม่ต้องรอให้มีกฎหมาย”
สอดคล้องต้องกันกับ ดร.ชยันต์ วรรธนะภูติ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์และการพัฒนา ที่เห็นว่า สังคมไทยมีมายาคติต่อกลุ่มชาติพันธุ์ ถูกมองว่าเป็น “คนอื่น”...ไม่ยอมรับความแตกต่าง ไม่มองว่าเป็นสมาชิกของสังคมเดียวกัน ดังนั้น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการวิจัย (สกว.) จึงควรสนับสนุนทำวิจัย ประวัติความเป็นมา การตั้งถิ่นฐานของชุมชน โดยกลุ่มชาติพันธุ์กันเอง
เพื่อให้คนรุ่นลูกหลานและสังคมได้เข้าใจและยอมรับตัวตนของกลุ่มชาติพันธุ์ดร.นฤมล อรุโณทัย ผู้อาวุโสแห่งสภาชนเผ่าพื้นเมือง นักวิจัยจากสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่า ในรอบ 10 ปี ได้เห็นความก้าวหน้าของสภาชนเผ่า เริ่มจากการขยายแนวร่วมกับภาคีเครือข่ายอื่นๆ ซึ่งมิใช่ชนเผ่าพื้นเมืองมากขึ้น...มีการขยายศูนย์การเรียนรู้ชุมชนมากกว่า 30 แห่ง เป็นตัวอย่างที่ดีของการจัดการศึกษาโดยชุมชนมีส่วนร่วม เด็กที่เรียนมีความสุข
...
...มีตัวอย่างการรวมตัวของชุมชนไทยใหญ่แม่ฮ่องสอน 140 ชุมชน เป็นสภาไทยใหญ่ระดับจังหวัด นำโดยนางมณีชยา กันทะยวง ซึ่งได้เป็นตัวแทนสตรีชาติพันธุ์ไปประชุมอนุสัญญาการไม่เลือกปฏิบัติต่อสตรี (CEDAW) ที่สำนักงานสหประชาชาติเจนีวา...ในช่วง 1-2 ปีแรก สภาชนเผ่าควรทำ “ประเด็นเย็น” การศึกษาและวัฒนธรรม โดยมหาวิทยาลัยในพื้นที่ควรสนับสนุนด้านวิชาการและกฎหมายและสร้างกระบวนการเรียนรู้ตัวอย่างที่ดีๆระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อเป็นกำลังใจ
เตือนใจ ดีเทศน์ ในฐานะเคยเป็นตัวแทนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ไปประชุมประเด็นชนพื้นเมืองของสหประชาชาติครั้งที่ 16 ที่สำนักงานนิวยอร์ก เมื่อช่วงต้นปี เสนอต่อที่ประชุมว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) จะจัดให้มีการประชุมเพื่อนิยาม “ชนพื้นเมือง” ให้ชัดเจนเป็นที่ยอมรับของภาครัฐ
รัฐบาลไทยควรตั้งองค์กรระดับชาติเป็นกลไกการดำเนินงานผ่านการมีส่วนร่วมของภาคีชนเผ่าพื้นเมืองและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง นำไปสู่การจัดทำแผนปฏิบัติการแห่งชาติว่าด้วยชนพื้นเมืองพร้อมงบประมาณ สนับสนุน...การกำหนดกฎหมาย นโยบาย โครงการพัฒนาที่ส่งผลกระทบ ...เกี่ยวข้องกับชนพื้นเมืองตามหลักสากล
นับรวมไปถึงกำหนดนโยบายหรือเสนอกฎหมายเพิ่มเพื่อแก้ปัญหาผู้สูงอายุไร้สัญชาติ ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่า 30,000 คน รวมทั้งผู้สูงอายุไร้รัฐที่ตกหล่นจากการสำรวจทุกครั้งที่ผ่านมา เพื่อคุ้มครองสิทธิ
ทุกคนต่างตั้งความหวัง...“สิทธิชนเผ่าพื้นเมือง บทเรียน ข้อท้าทาย และอนาคตชนเผ่าพื้นเมืองไทย” ในวันหน้า คงจะก้าวพัฒนาเติมเต็มผ่านปัญหาและอุปสรรคไปได้มากกว่าวันนี้.