ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ฝูงบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ B-2 ของสหรัฐฯได้ออกปฏิบัติการปล่อยระเบิดเจาะบังเกอร์ขนาด 13 ตัน ใส่เป้าหมายในอิหร่าน 3 แห่ง เป้าหมายทั้งหมดนี้คือศูนย์พัฒนาโครงการพลังงานนิวเคลียร์ “ที่เชื่อกันว่า” มีขีดความสามารถในการปูทางให้รัฐบาลอิหร่านครอบครองอาวุธนิวเคลียร์
จุดแรกคือศูนย์พัฒนานิวเคลียร์เมืองนาตานซ์ ห่างจากกรุงเตหะรานไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 220 กิโลเมตร ซึ่งทบวงการปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) เชื่อว่ามีเครื่องมือเพียงพอที่จะทำให้แร่ยูเรเนียมมีความเข้มข้นสูงสุด 60% และถ้าเข้มข้นได้มากกว่านี้ ก็สามารถนำไปใช้ต่อยอดทำระเบิดนิวเคลียร์
จุดที่สองคือศูนย์พัฒนานิวเคลียร์เมืองฟอร์โดว์ ห่างจากกรุงเตหะรานไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 100 กิโลเมตร โดยเป็นศูนย์พัฒนาที่ถูกสงสัยว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ เนื่องจากสร้างอยู่ใต้ภูเขา เริ่มการก่อสร้างในปี 2550 ก่อนที่
ทางการอิหร่านจะแจ้งให้นานาชาติรับทราบในอีก 2 ปีต่อมา ฝ่ายความมั่นคงชาติตะวันตกระบุว่ายิ่งน่าสงสัยเข้าไปอีก เนื่องจากเป็นศูนย์ที่ถูกออกแบบให้ต้านทานการโจมตีทางอากาศ มีการวางระบบต่อต้านทางอากาศไว้แน่นหนาและต้องใช้ระเบิดเจาะบังเกอร์ของสหรัฐฯเท่านั้นถึงจะทำลายได้
จุดที่สามคือศูนย์พัฒนานิวเคลียร์ เมืองอิสฟาฮาน ห่างจากกรุงเตหะรานไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 350 กิโลเมตร เป็นสถานที่ตั้งของฐานวิจัยเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของจีน 3 แห่ง มีห้องแล็บจำนวนมาก และมีการว่าจ้างนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์หลายพันคน เพื่อประสานงานเดินหน้าโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ถือเป็นประเด็นย้ำเตือนแก่ชาวโลกอีกครั้งว่า อย่าไปทำอะไรให้มหาอำนาจไม่พอใจ เพราะถึงหลักฐานจะไม่ชัดเจนแต่ก็สามารถมีเหตุผลล้านแปดมาใช้สร้างความชอบธรรม
...
และแม้ว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะประกาศจุดยืนมาตลอดเรื่องการไม่เข้ายุ่งเกี่ยวกับสงคราม แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่คำลวงเหมือนกับผู้นำสหรัฐฯคนก่อนๆ.
ตุ๊ ปากเกร็ด
คลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม