การขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ 10% (Baseline Tariffs) จากทุกประเทศทั่วโลก ตามคำสั่ง ประธานาธิบดีทรัมป์ มีผลใช้บังคับวันเสาร์ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา ส่วน ภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) จะมีผลบังคับใช้วันพรุ่งนี้ 9 เม.ย. ซึ่งประเทศไทยถูกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ 36% แต่ นายกฯแพทองธาร ชินวัตร เพิ่งจะเรียกประชุมรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง 13.00 น. วันนี้ ใจเย็นดีจริงๆ ท่ามกลางความวิตกว้าเหว่ของผู้ส่งออก นายกฯแพทองธาร ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า ไม่ต้องห่วง คิดว่ายังสามารถเจรจากันได้อยู่ ตัวเลข 36% ยังไม่ได้ Activate (เปิดใช้งาน) ใช้งานบางหัวข้อ ถ้ามีการต่อรองและปรับโครงสร้างภาษีให้สมเหตุสมผล สมัยนี้มันต้องเป็น More for less, Less for more ไม่ได้เป็นแบบเดิมที่จะมาเยอะใส่กัน น้อยก็ต้องน้อยทั้งคู่ คนฟังก็เป็นงงว่า More for less, Less for more ของนายกฯอิ๊งค์คือนโยบายอะไร เลยถูกเม้าท์กันกระจายท่ามกลางความผิดหวังของคนไทย ผมชวนไปฟังสปีชของ ลอว์เรนซ์ หว่อง นายกฯสิงคโปร์กันดีกว่านะครับ ทันทีที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษี สิงคโปร์โดนแค่ 10% น้อยกว่าไทยเยอะ แต่ นายกฯหว่อง ก็ออกทีวีพูดกับประชาชนถึง “อนาคตสิงคโปร์” ทันที เขาใส่เสื้อเชิ้ตตัวเดียว พับแขนสบายๆ“พี่น้องชาวสิงคโปร์ของผม ผมเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า โลกกำลังจะเปลี่ยนไปในทางที่จะสร้างความเสียเปรียบให้กับประเทศเศรษฐกิจเล็กๆที่เปิดกว้างอย่างสิงคโปร์ บางคนเคยตั้งคำถามกับการประเมินนี้ แต่การประกาศ “วันแห่งอิสรภาพ” ของสหรัฐฯ ทำให้ไม่ต้องสงสัยกันอีกต่อไป มันคือการเปลี่ยนแปลงที่สร้างแรงสั่นสะเทือนใน ระเบียบโลกยุคโลกาภิวัตน์และการค้าเสรี ภายใต้กฎเกณฑ์ได้สิ้นสุดแล้ว เรากำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่กระทำตามอำเภอใจ กีดกันการค้า และอันตรายมากขึ้น หลายทศวรรษที่ผ่านมา สหรัฐฯถือเป็นรากฐานสำหรับเศรษฐกิจตลาดเสรีของโลก สหรัฐฯเป็นผู้สนับสนุนการค้าเสรี เป็นผู้นำในการสร้างระบบการค้าพยุหภาคีด้วยกฎเกณฑ์และบรรทัดฐานที่ชัดเจน ประเทศต่างๆสามารถบรรลุผลประโยชน์ร่วมกันผ่านการค้าระบบ WTO (องค์การการค้าโลก) ได้สร้างเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับโลก ระบบนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบที่ผ่านมาสิงคโปร์และอีกหลายประเทศได้เรียกร้องให้มีการปฏิรูปเพื่อปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่างๆให้ทันสมัยและดีขึ้น แต่สิ่งที่สหรัฐฯกำลังทำอยู่นี้ ไม่ใช่การปฏิรูป แต่กำลังละทิ้งระบบทั้งหมดที่ตนเองสร้างขึ้นมา แนวทางใหม่ในการใช้อัตราภาษีศุลกากรตอบโต้เป็นรายประเทศ ถือเป็นการปฏิเสธกรอบการทำงานของ WTO อย่างสิ้นเชิงสหรัฐฯอาจกำหนดอัตราภาษีตอบโต้สิงคโปร์ไว้ในระดับต่ำสุดที่ 10% ผลกระทบโดยตรงต่อเราอาจจะจำกัดอยู่ในตอนนี้ แต่ผลที่ตามมานั้นจะกว้างกว่าและลึกกว่า หากประเทศอื่นใช้แนวทางเดียวกับสหรัฐฯด้วยการละทิ้ง WTO และทำการค้าตามเงื่อนไขที่ตนเองต้องการเท่านั้น ก็จะสร้างปัญหาให้กับทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศเล็กๆอย่างสิงคโปร์ เราเสี่ยงที่จะถูกบีบคั้น และถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”นายกฯสิงคโปร์ กล่าวว่า สิงคโปร์ตัดสินที่จะไม่กำหนดภาษีตอบโต้ แต่ประเทศอื่นอาจไม่ข่มกลั้นแบบเดียวกับเรา ความเป็นไปได้ที่จะเกิด “สงครามการค้าโลกอย่างเต็มรูปแบบ” กำลังเพิ่มสูงขึ้น ผลกระทบจากภาษีที่สูงขึ้น บวกกับความไม่แน่นอนที่ว่า การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศจะประสบปัญหา การเติบโตทั่วโลกจะชะลอตัวลง สิงคโปร์จะได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศอื่นๆ เนื่องจากเราพึ่งพาการค้าเป็นอย่างมาก“ครั้งสุดท้ายที่โลกประสบเหตุการณ์ทำนองนี้คือ ช่วงทศวรรษที่ 1930 สงครามการค้าทวีความรุนแรง กลายเป็นความขัดแย้งด้วยอาวุธ และกลายเป็น “สงครามโลกครั้งที่ 2” ในที่สุด ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า สถานการณ์ปัจจุบันจะเป็นอย่างไรในอีกไม่กี่เดือน หรือกี่ปีข้างหน้า แต่เราต้องตระหนักถึงอันตรายต่างๆที่กำลังก่อตัวขึ้นในโลก” ผมเห็นด้วยกับผู้นำสิงคโปร์ “สงครามการค้า” ครั้งนี้ถ้าทวีความรุนแรงขึ้น ก็อาจนำไปสู่ “สงครามโลกครั้งที่ 3” มีความเป็นไปได้สูงยิ่ง เสียดายที่ลงสปีชได้ไม่หมด นี่คือ “วิสัยทัศน์” ที่ “ผู้นำประเทศพึงมี” แต่ประเทศไทยของเราไม่มี."ลม เปลี่ยนทิศ"คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม