สถานการณ์ช่องแคบไต้หวันยังคงมีทิศทางมุ่งสู่ความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 21 เม.ย. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานบทสัมภาษณ์ของนายโจเซฟ อู๋ รมว.ต่างประเทศไต้หวัน ระบุว่า รัฐบาลไต้หวันมองภัยคุกคามจากกองทัพจีนอย่างจริงจัง และเชื่อว่าในปี 2570 คือปีที่เราต้องจริงจังมากกว่าปีไหนๆ ซึ่งคำกล่าวนี้สอดคล้องกับรายงานของหน่วยข่าวกรองและฝ่ายความมั่นคงสหรัฐฯ ที่เชื่อว่าปี 2570 คือปีที่กองทัพจีนจะมีศักยภาพเพียงพอในการส่งกำลังทหารเข้ายึดครองเกาะไต้หวัน

ขณะที่นายฉิน กัง รมว.ต่างประเทศจีน กล่าวในงานสัมมนาที่นครเซี่ยงไฮ้ว่า ในช่วงนี้มีการพูดจาไร้สาระมากขึ้นว่า จีนพยายามเปลี่ยนแปลงสภาวะที่เป็นอยู่ ขัดขวางสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน ถือเป็นตรรกะวิบัติและเป็นมุมมองที่อันตราย คนที่สามารถมองอะไรอย่างยุติธรรมก็จะเห็นได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนที่บูลลี่เพื่ออยากจะครองอำนาจเพียงฝ่ายเดียว ขอชี้แจงว่าเรื่องนี้ไม่ใช่จีนแผ่นดินใหญ่ แต่เป็นกองกำลังแบ่งแยกดินแดนไต้หวันและประเทศไม่กี่ประเทศที่พยายามเปลี่ยนแปลงสภาวะที่เป็นอยู่ ใครที่มาเล่นกับไฟย่อมต้องถูกเผา

วันเดียวกัน สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานด้วยว่า คณะกรรมาธิการด้านพรรคคอมมิวนิสต์จีนของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ร่วมกับกลุ่มคลังสมอง “ศูนย์ความมั่นคงใหม่อเมริกัน” ทำการจำลองสถานการณ์ในช่องแคบไต้หวันในกรณีที่ถูกกองทัพจีนรุกราน และพบว่า หากสงครามเริ่มขึ้นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่สหรัฐฯจะส่งกำลังบำรุงให้เกาะไต้หวัน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่สหรัฐฯจะต้องอัปเกรดเขี้ยวเล็บของไต้หวัน ด้วยการติดอาวุธให้ไต้หวันเป็นจำนวนมหาศาลโดยเฉพาะจรวดพิสัยไกล ซึ่งการติดอาวุธดังกล่าวจำเป็นต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นก่อนที่ความขัดแย้งจะอุบัติขึ้น อีกทั้งเศรษฐกิจของสหรัฐฯจะต้องเตรียมรับผลกระทบที่ตามมา

...

แหล่งข่าวในคณะกรรมาธิการสหรัฐฯยังเผยกับรอยเตอร์ด้วยว่า ผลลัพธ์ของการจำลองสงคราม ยังพบว่า สหรัฐฯจะเผชิญความสูญเสียอย่างหนัก หากไม่รีบเจรจาตกลงเรื่องการขยายฐานทัพสหรัฐฯในประเทศพันธมิตรในภูมิภาค ยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตจรวดพิสัยไกล ไปจนถึงกระตุ้นให้ภาคธุรกิจของสหรัฐฯ รับรู้ว่าสถานการณ์ไต้หวันมีความซีเรียสมากกว่าที่เห็น ส่วนกลุ่มคลังสมอง “สถาบันโลวี” ของออสเตรเลียยังเผยว่า อิทธิพลของจีนในภูมิภาคอาเซียนแซงหน้าสหรัฐฯ ในสัดส่วน 54-46 ทั้งจำแนกว่าจีนเหนือกว่าในด้านการทูตและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ แต่สหรัฐฯยังคงเหนือกว่าในเรื่องเครือข่ายความมั่นคงและอิทธิพลทางวัฒนธรรม.