เศรษฐกิจโลกแทบทรุด ธุรกิจเจ๊งระนาว แถมคนตกงานเป็นเบือ และผู้คนกำลังอดอยากไม่มีเงินพอเลี้ยงชีพ แต่ตระกูลเศรษฐีใหญ่ๆของโลกกลับรวยเอารวยเอา ล่ำซำขึ้นหลายเท่าตัวในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตอกย้ำชัดถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ถ่างกว้างขึ้นทุกที

จากการรายงานล่าสุดของสถาบัน “Institute for Policy Studies” บ่งชี้ว่า นับตั้งแต่เกิดวิกฤติแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เมื่อต้นปีที่แล้ว “10 ตระกูลเศรษฐีเก่าแก่ที่ร่ำรวยที่สุดของอเมริกา” มีฐานะมั่งคั่งขึ้นถึง 25% คิดเป็นทรัพย์สินเพิ่มขึ้นรวมกัน 136,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นำขบวนโดย “ตระกูลลอเดอร์” เจ้าของธุรกิจเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่ “เอสเต้ ลอเดอร์” ที่อู้ฟู่ขึ้น 83% ในช่วงวิกฤติโควิด-19

ตามติดมาด้วย “ตระกูลวอลตัน” เจ้าของห้างฯวอลมาร์ท ยักษ์ใหญ่วงการค้าปลีกโลก มีสินทรัพย์ในครอบครอง 247,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, “ตระกูลโค้ค” เจ้าของธุรกิจพลังงานและเคมีภัณฑ์ ส่งต่อความมั่งคั่งให้ลูกหลานนับ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, “ตระกูลมาร์ส” ผู้สร้างตำนานช็อกโกแลตละลายในปากไม่ละลายในมือ และเจ้าแห่งขนมขบเคี้ยวรายใหญ่สุดของโลก อู้ฟู่ด้วยสินทรัพย์ 94,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, “ตระกูลคาร์กิลล์-แมคมิลแลน” ยักษ์ใหญ่ธุรกิจการเกษตร ถือครองสินทรัพย์ 47,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, “ตระกูลเอส.ซี.จอห์นสัน” ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและเคมี ภัณฑ์ในครัวเรือน แบกภาระความรวย 37,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, “ตระกูลค็อกซ์” เจ้าอาณาจักรธุรกิจมีเดีย และยานยนต์ รวยเงียบๆด้วยสินทรัพย์ 34,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, “ตระกูลพริทซ์เคอร์” เจ้าของเชนโรงแรมใหญ่ระดับโลก ธุรกิจธนาคาร สายการบิน และบริการท่องเที่ยว รวยไม่แบ่งใครด้วยทรัพย์สิน 32,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ตระกูลเศรษฐีเก่าทรงอิทธิพลของนิวยอร์ก “นิวเฮาส์ แฟมิลี่” เจ้าของธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ยักษ์ใหญ่อย่าง โว้ก, แวนิตี้ แฟร์ และเดอะ นิวยอร์กเกอร์ ยังคงรวยไม่ลดละด้วยสินทรัพย์ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

...

อย่าเพิ่งน้ำตาไหลถ้าจะบอกว่า คนรวยเหล่านี้ไม่ได้จ่ายภาษีเข้ารัฐมากกว่าคนเดินดินกินข้าวแกงอย่างพวกเรา!! ผลจากการศึกษาของศาสตราจารย์เอ็มมานูเอล ซาเอซ และศาสตราจารย์กาเบรียล ซัคแมน แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย บ่งชี้ว่า ในปี 2017 ชาวอเมริกันที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศจาก 400 ครอบครัว เสียภาษีเงินได้ในอัตราเฉลี่ย 23% ขณะที่ครอบครัวคนหาเช้ากินค่ำที่ยากจนที่สุดในอเมริกา ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราสูงกว่า 24% โปรเฟสเซอร์ทั้งสองให้เหตุผลว่า คนรวยในอเมริกาจ่ายภาษีน้อยกว่าคนจน เพราะกฎหมายสหรัฐฯเอื้อประโยชน์ให้คนรวยมีช่องทางมากมายในการลดหย่อนภาษี กระนั้น ใช่ว่าคนรวยทั้งโลกจะจ่ายภาษีน้อยไปซะหมด เพราะต้นแบบรัฐสวัสดิการของโลกอย่าง “สวีเดน” คนรวยๆต้องจ่ายภาษีสูงกว่าคนทั่วไปในอัตราเกือบ 60%

ถามว่าคนรวยๆส่งมอบมรดกความมั่งคั่งให้ลูกหลานยังไง ทำไมผูกขาดความรวยได้ต่อเนื่องสลึงไม่มีกระเด็น “การจัดตั้งกองทุนทรัสต์” คือหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ใช้ซ่อนความรวยและต่อยอดความมั่งคั่ง เพื่อดูแลทรัพย์สมบัติและผลประโยชน์ของตระกูลให้งอกเงยตราบชั่วลูกชั่วหลาน ไม่ต้องแปลกใจที่ทายาทตระกูลเศรษฐีจำนวนมากไม่เป็นโล้เป็นพาย เพราะกุมารเศรษฐีเหล่านี้เกิดบนกองเงินกองทองเป็น “Trust Fund Baby” พ่อแม่จะกันทรัพย์สินเงินทองก้อนใหญ่ไว้ให้ใช้จ่ายไปตลอดชีวิตโดยไร้กังวล เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงของลูกหลาน เมื่อมีเงินมีทองให้ผลาญโดยไม่ต้องคิดถึงที่มา เราจึงเห็นลูกหลานเศรษฐีไม่น้อยที่เสียผู้เสียคนทำอะไรไม่เป็น เพราะทั้งชีวิตรอพึ่งแต่เงินจากกงสีครอบครัว

อย่างไรก็ดี มีทายาทเศรษฐีหลายคนที่มีหัวคิด เช่น ทายาทธุรกิจบันเทิงค่ายดิสนีย์ ออกมารณรงค์ให้รัฐบาลเรียกเก็บภาษีจากคนรวยมากขึ้น เพื่อนำไปช่วยเยียวยาโลก และแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม พร้อมเรียกร้องให้เก็บ “ภาษีความมั่งคั่ง” ให้รู้แล้วรู้รอดไป แยกให้ชัดว่าคนรวยมีหน้าที่ต้องจ่ายภาษีมากกว่าคนจน ไม่ใช่หาทางหลบเลี่ยงภาษีกอบโกยประโยชน์เพื่อตัวเอง!!

มิสแซฟไฟร์