“มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก” เปลี้ยนไป๋!! จากภาพลักษณ์เด็กเนิร์ดอัจฉริยะใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์กับรองเท้าแตะ ที่ก่อตั้ง “เฟซบุ๊ก” ในหอพักนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เมื่อ 16 ปีก่อน ด้วยความสนุกและอยากเปิดโลกกว้างขึ้นสำหรับทุกคน มาวันนี้เขากลายเป็น “มาเฟียเต็มตัว” ไปซะแล้ว ติดเขี้ยวเล็บพร้อมขย้ำคู่แข่งทุกคนที่ขวางทาง และไม่เกี่ยงว่าจะต้องใช้วิชามารขนานไหน เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ให้เฟซบุ๊กท่าทีแข็งกร้าวของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ต่อกรณี TikTok คือตัวอย่างชัดเจนบ่งบอกถึงการใช้วิชามารของ “มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก” โดยสำนักข่าวเดอะ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล เจาะลึกว่า ซีอีโอผู้ก่อตั้ง “เฟซบุ๊ก” บริการเครือข่ายสังคมใหญ่ที่สุดในโลก กังวลว่า แอปพลิเคชัน TikTok บริการวิดีโอขนาดสั้นยอดฮิตสัญชาติจีน จะเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของอเมริกา และได้แสดงความวิตกนี้ระหว่างเข้าพบปะประธานาธิบดีทรัมป์ ที่วอชิงตัน ดี.ซี . เมื่อปลายปีก่อนหลังจากนั้น เหล่าวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันก็ดาหน้าออกมาเคลื่อนไหวแสดงความวิตกถึง TikTok โดย ส.ว.บางรายเสนอว่า รัฐบาลมะกันควรออกกฎหมายแบนแอปดังจากการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ทุกชนิดของรัฐบาลกลาง ทำนองเดียวกับที่ค่ายมือถือหัวเว่ยโดน ขณะที่ ส.ว.อีกรายเขียนจดหมายถึงสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติว่า TikTok อาจเข้ามาแทรกแซงอธิปไตยของอเมริกา โดยแอปดังกล่าวได้ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของผู้เรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงกระนั้น เจ้าของ TikTok “เควิน เมเยอร์” ยืนยันว่าไม่จริง และพวกเขาเป็นอิสระจากรัฐบาลจีน พร้อมโยนเผือกร้อนใส่เฟซบุ๊กว่าพยายามใช้การเมืองเป็นเครื่องมือทำลายล้างคู่แข่ง หลังจากออกโปรดักส์ใหม่ก๊อปปี้ TikTok แต่ล้มเหลวไม่เป็นท่ากลายเป็นว่าอะไรๆ ที่เมดอินไชน่าก็พร้อมเป็นชนวนก่อสงครามระหว่างอเมริกากับจีน ถ้าชูธงรักชาติเป็นข้ออ้าง เรื่องของเรื่องมะกันกลัวโดนจีนแย่งความเป็นเจ้าเทคโนโลยี 5G ผงาดผู้นำการสื่อสารโทรคมนาคมเบอร์หนึ่งโลก ทำให้อเมริกาเสียผลประโยชน์มหาศาล เลยจงใจกีดกันการค้าทุกทาง ถึงขนาดยัดข้อหาขโมยทรัพย์สินทางปัญญา และจงใจขโมยเทคโนโลยีของอเมริกาทั้งๆที่หลักฐานอ่อนยวบกรณี TikTok เจ้าของต่อสู้ยิบตา เพื่อไม่ให้ต้องระเห็จออกนอกตลาดอเมริกา ยอมทนแม้ถูกบีบขายกิจการในอเมริกาให้บริษัทสัญชาติมะกัน โดยงานนี้มีเจ้าใหญ่ๆ พร้อมโดดอุ้ม ตั้งแต่ไมโครซอฟท์, ทวิตเตอร์ ไปจนถึงแอปเปิล ก็ต้องรอดูว่าหวยจะลงที่ใครเหยื่ออีกรายของมาเฟียเฟซบุ๊กยังรวมถึงแอปแชตมาแรงสัญชาติมะกัน “Snapchat” ที่ก่อตั้งโดย “อีแวน โธมัสสปีเกล” โดนสกัดดาวรุ่ง เพราะบาดใจที่วัยรุ่นมะกันหนีจากเฟซบุ๊กแห่ไปเล่น “Snapchat” เนื่องจากถูกจริตการแชตล่องหน ส่งเร็วดูเร็วและเมื่อครบกำหนดเวลา ทั้งข้อความ รูปภาพ และวิดีโอ ก็จะหายวับในพริบตา แอปนี้เป็นต้นแบบเรื่องเน้นการใช้ภาพกับวิดีโอสื่อสารแทนข้อความตัวหนังสือก่อนจะบี้คู่แข่งให้จมดิน เจ้าพ่อเฟซบุ๊กมักเอาเงินล่อทุ่มซื้อกิจการมาอยู่ในอุ้งมือ กระนั้นเจ้าของ “Snapchat” ไม่หลงกลรับข้อเสนอสูงลิ่ว 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะทั้งหล่อทั้งรวยไม่ร้อนเงิน พอเอาเงินฟาดหัวเด็กไม่สำเร็จ เฟซบุ๊กเลยใช้วิธีก๊อปปี้คู่แข่งออกฟีเจอร์เลียนแบบ หนึ่งในนั้นก็คือฟีเจอร์ Stories ที่ฝังอยู่ทั้งในเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมกับความเคลื่อนไหวที่โฆษกเฟซบุ๊กออกแถลงการณ์เตรียมฟ้องร้องรัฐบาลไทย กรณีขอให้บล็อกปิดกั้นการเข้าถึงเพจ “รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส” ซึ่งมีสมาชิกติดตาม 1 ล้านราย เนื่องจากเฟซบุ๊กเล็งเห็นว่าขัดต่อหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และมีผลกระทบต่อความสามารถของประชาชนในการแสดงความเป็นตัวตนของตนเอง ถามใจ “พี่มาร์ค” จริงๆ เหอะ ถ้าห่วงเรื่องคุ้มครองสิทธิของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต แล้วทำไมถึงเอาข้อมูลคนใช้เฟซบุ๊กมาทำมาหากินสร้างความร่ำรวยให้ตัวเองจนกลายเป็นมหาเศรษฐีแสนล้าน แถมป้อนข้อมูลใส่พานตามรีเควสของรัฐบาลมะกันลืมแล้วใช่ไหมที่เพิ่งโดน 530 บริษัทแบรนด์ดังทั่วโลก บอยคอตแห่ถอนโฆษณาบนเฟซบุ๊กอย่างน้อยเดือนหนึ่ง เพื่อประท้วงที่เฟซบุ๊กปล่อยให้มี Hate Speech เนื้อหาความรุนแรง และการแสดงความเกลียดชัง จนต้องดิ้นพล่านออกมาประกาศจะกวาดล้างการใช้ภาษาที่ส่อถึงความเกลียดชัง และรับปากเริ่มต้นจัดอันดับติดป้ายเตือนเนื้อหาอันตรายจากนักการเมือง ที่ยังคงมีชื่อเสียงในแวดวงข่าว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพุ่งเป้าไปที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้ชอบยั่วยุเมกข่าวปลอม...แบบนี้ก็ได้เหรอ?มิสแซฟไฟร์