(ภาพ: ใหญ่ฟัดใหญ่-แฟ้มภาพประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งจีน ที่มหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่ง เมื่อปี 2560 ก่อนสงครามการค้าปะทุรุนแรง และทั้งคู่อาจพบปะหารือกันระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำจี 20 ที่ญี่ปุ่น ปลายเดือน มิ.ย.นี้ (เอพี))
เพราะนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) และ “ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง” (Make America Great Again) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จึงขยันสร้างความขัดแย้งกับประเทศคู่แข่ง โดยเฉพาะ “จีน” มหาอำนาจค่ายคอมมิวนิสต์ ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงเป็นวงกว้างไปทั่วโลก
ทรัมป์เปิดสงครามการค้ากับจีน โดยยกแรกในปีที่แล้ว สั่งขึ้นภาษีสินค้าจีนมูลค่า 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจีนก็ตอบโต้ ขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ มูลค่า 110,000 ล้านดอลลาร์ และเมื่อ 10 พ.ค. ที่ผ่านมา คำสั่งขึ้นภาษีจีนชุดใหม่อีก 200,000 ล้านดอลลาร์ จาก 10% เป็น 25% ของทรัมป์ก็เริ่มมีผลบังคับ ทรัมป์ยังสั่งให้เตรียมเก็บภาษีสินค้าจีนที่เหลืออีกทั้งหมดราว 300,000 ล้านดอลลาร์
ส่วนจีนก็ตอบโต้ทันควัน ประกาศขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯอีก มูลค่า 60,000 ล้านดอลลาร์ ในอัตรา 5-25% ทำให้สงครามการค้ายิ่งบานปลาย แม้ทั้งสองฝ่ายตกลงจะเจรจากันต่อไป และทรัมป์เผยว่าจะไปคุยกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ระหว่างการประชุมยอดผู้นำจี 20 ที่ญี่ปุ่น ใน 28-29 มิ.ย. แต่อะไรๆก็ยังไม่แน่นอน
ทรัมป์อ้างเหตุผลที่เปิดสงครามการค้าว่า จีนค้าขายอย่างไม่เป็นธรรม รัฐบาลจีนให้เงินอุดหนุนบริษัทเอกชนของตน ตั้งกฎเกณฑ์บังคับให้บริษัทสหรัฐฯในจีนต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีให้บริษัทร่วมทุนของจีน และจีนขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ
ในอดีต นโยบายของผู้นำสหรัฐฯและพันธมิตรตะวันตกในยุคก่อนๆ ที่มีต่อจีนค่อนข้างสุขุมระมัดระวัง โดยมีเป้าหมายโน้มน้าวให้จีนเข้าร่วมในกฎระเบียบโลก แต่ทรัมป์เปลี่ยนนโยบายนี้เกือบสิ้นเชิง โดยเปิดหน้าฟาดฟันกับจีนอย่างเปิดเผย!
...
ในความคิดของทรัมป์นั้น ความผิดพลาดอย่างมหันต์ของสหรัฐฯ ก็คือการยอมให้จีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ในปี 2544 หรือ 18 ปีก่อนอย่างง่ายๆ ส่งผลให้จีนเติบกล้าขาแข็งอย่างรวดเร็ว
โดยก่อนเข้าเป็นสมาชิก WTO จีนต้อง “เดินตามเกม” ของมหาอำนาจตะวันตกมาตลอด ทำให้สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (อียู) ชะล่าใจ ยอมให้จีนได้สถานะ “ประเทศกำลังพัฒนา” ใน WTO ทำให้ได้สิทธิพิเศษทางการค้าต่างๆ เหมือนประเทศกำลังพัฒนาที่ยากจนอื่นๆ ซึ่งนั่นคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของจีน
หลังเข้าเป็นสมาชิก WTO จีนเริ่มได้เปรียบดุลการค้าประเทศต่างๆ รวมทั้งสหรัฐฯ มหาศาล และทุนสำรองระหว่างประเทศก็ทวีขึ้นแบบก้าวกระโดด ส่งผลให้จีนเติบโตมั่งคั่งรวดเร็วดังเช่นทุกวันนี้
แม้ทรัมป์คุยโวว่า สงครามการค้าจะไม่กระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯมากนัก และจีนจะเป็นฝ่าย “เจ็บหนัก” กว่า แต่นักวิเคราะห์ชี้ว่าสหรัฐฯ ก็จะเจ็บไม่น้อย เพราะบริษัทของสหรัฐฯ เป็นผู้จ่ายภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่เพิ่มขึ้นทั้งหมด และจะผลักภาระไปให้ผู้บริโภค ชาวอเมริกันต้องซื้อสินค้าแพงขึ้น และหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าที่สุดคือภาคเกษตรกรรม ฐานเสียงสำคัญของพรรครีพับลิกันของทรัมป์ โดยเฉพาะผู้ปลูกถั่วเหลือง
ความขัดแย้งกับจีน นอกจากจะทำให้เศรษฐกิจทั้งสองฝ่ายเสียหาย ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ไปจนถึงระเบียบและความมั่นคงของโลกในระยะยาว เพราะแม้จะสงบศึกการค้าได้ แต่รอยร้าว ความบาดหมาง และไม่ไว้วางใจที่ลึกซึ้งได้เกิดขึ้นแล้ว ทั้งในระดับรัฐบาลและประชาชนของทั้ง 2 ชาติ อีกทั้งยังเกิด “ความเห็นร่วม” แบบ 2 ขั้วขึ้นในสภาคองเกรสสหรัฐฯ ทั้งในพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน ที่เห็นพ้องกับทรัมป์ว่านโยบาย “พัวพันเชิงสร้างสรรค์” กับจีนในอดีตนั้นล้มเหลว จึงต้องใช้ไม้แข็งกับจีน!

...
นอกจากเรื่องการค้า สหรัฐฯยังมีความขัดแย้งกับจีนเรื่องอื่นๆ ที่รอวันระเบิด รวมทั้งกรณีพิพาทใน “ทะเลจีนใต้” ซึ่งจีนอ้างกรรมสิทธิ์เกือบทั้งหมด กรณีที่จีนผงาดขึ้นมาเป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะด้านเครือข่ายการสื่อสารไร้สายยุคที่ 5 หรือ “5จี” ซึ่งจีนแซงหน้าสหรัฐฯ และพยายามส่งออกไปทั่วโลก โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่เช่น “หัวเว่ย” เป็นหัวหอก แต่ถูกสหรัฐฯขัดขวางสุดกำลัง และบีบให้ชาติอื่นๆ อย่าใช้เทคโนโลยี 5จีของจีน โดยอ้างว่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคง
ส่วนอภิมหาโปรเจกต์ “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative) หรือ “บีอาร์ไอ” ของจีน ซึ่งมีเป้าหมายพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโยงใยไปทั่วเอเชีย แอฟริกา และยุโรป ก็ถูกสหรัฐฯเพ่งเล็งอย่างหวาดระแวงว่าจีนกำลังขยายอิทธิพลไปทั่วโลก เป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯซึ่งเป็น “ผู้นำเบอร์ 1” ของโลก
ถ้าไม่ปลดชนวน และความขัดแย้งรุนแรงขึ้นถึงขีดสุด เป็นไปได้ว่าในระยะยาวโลกจะแยกเป็น 2 ขั้วอย่างชัดเจน และผู้นำรัฐบาลประเทศต่างๆ อาจจำเป็นต้องทบทวนนโยบายของตนที่มีต่อสหรัฐฯและจีนใหม่ และอาจถึง
ขั้นต้อง “เลือกข้าง” ว่าจะอยู่ขั้วใด ไม่ใช่เฉพาะด้านการเมือง การทูต การทหารเท่านั้น แต่จะรวมไปถึงด้านอื่นๆ อาทิ ด้านเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี สถาบันระหว่างประเทศ และมาตรฐานสากลต่างๆ เป็นต้น
ลองนึกภาพประเทศในยุโรป เอเชีย แอฟริกา ที่เคยเป็นพันธมิตรสหรัฐฯและตะวันตก แต่เมื่อเปลี่ยนขั้วไปซบจีน ต้องถูกบีบให้เปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีของจีนด้วย เช่น เครือข่ายการสื่อสาร โทรศัพท์มือถือ รถยนต์ ฯลฯ
แค่นึกภาพก็ปวดขมองแล้ว...ขอภาวนาอย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย!
...
บวร โทศรีแก้ว