ยิ่งสาวยิ่งลึก คดีสะท้านโลก นายจามาล คาช็อกกี นักข่าวอาวุโสชาวซาอุดีอาระเบีย วัย 59 ปี คอลัมนิสต์ของ นสพ. “วอชิงตัน โพสต์” ที่ลี้ภัยอยู่ในสหรัฐฯ ผู้บังอาจโจมตีนโยบายของมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน แห่งซาอุฯ หายตัวไปในสถานกงสุลซาอุฯ ในนครอิสตันบูลในตุรกี เมื่อ 2 ต.ค. ขณะเข้าไปขอเอกสารเพื่อแต่งงานใหม่

ทางการและสื่อตุรกีระบุว่าเขาถูกทีมนักฆ่าซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐและหน่วยข่าวกรองซาอุฯ 15 คนสอบสวน ทรมาน และฆ่าหั่นศพในสถานกงสุล ก่อนเคลื่อนย้ายชิ้นส่วนศพออกไป โดยมีหลักฐานเป็นเทปบันทึกเสียง จากนาฬิกา “แอปเปิลวอตช์” สื่อยังระบุชื่อนักฆ่าหลายคน และว่า 4 คน เป็นผู้ ใกล้ชิดกับมกุฎราชกุมารฯ บางคนเคยตามเสด็จมกุฎราชกุมารไปเยือนสหรัฐฯ เมื่อเดือน เม.ย. อีกคนเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยซาอุฯ

แต่กษัตริย์ซัลมาน มกุฎราชกุมารฯ และรัฐบาลซาอุฯ ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้โดยสิ้นเชิงแถมขู่จะตอบโต้ผู้ที่ข่มขู่ลงโทษซาอุฯอย่างรุนแรง ขณะที่นานาชาติกดดันให้มีการสอบสวนคดีนี้ให้กระจ่าง ส่วนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรกับซาอุฯมายาวนานยังไม่กล้าฟันธงโทษใคร แค่ระบุว่าผู้ทำผิดสมควรถูกลงโทษอย่างหนัก และ
ว่าคาช็อกกีอาจถูกฆ่าโดย “นักฆ่าแตกแถว” ที่ทำงานเกินเลยคำสั่ง แต่อย่าเพิ่งด่วนสรุป

นิวยอร์ก ไทม์ส และซีเอ็นเอ็น รายงานว่า ในท้ายที่สุด ซาอุฯอาจยอมรับว่าทีมที่ถูกส่งไปสอบสวนหรือลักพาตัวคาช็อกกีพลั้งมือฆ่าเขาเกินเลยคำสั่ง แต่ไม่ว่าผลสรุปคดีนี้จะเป็นเช่นไร ภาพลักษณ์ของมกุฎราชกุมาร พระชนมายุ 33 ชันษา ยิ่งมัวหมอง

เอาไงดี?  –  ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเรื่องคดีนายจามาล คาช็อกกี ผู้สื่อข่าวอาวุโสชาวซาอุฯ ที่เชื่อว่าถูกฆ่าตายในสถานกงสุลซาอุฯ ในตุรกี ก่อนทรัมป์ขึ้นเครื่องบินแอร์ฟอร์ซ วัน ไปเมืองมอนตานา (รอยเตอร์)
เอาไงดี? – ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเรื่องคดีนายจามาล คาช็อกกี ผู้สื่อข่าวอาวุโสชาวซาอุฯ ที่เชื่อว่าถูกฆ่าตายในสถานกงสุลซาอุฯ ในตุรกี ก่อนทรัมป์ขึ้นเครื่องบินแอร์ฟอร์ซ วัน ไปเมืองมอนตานา (รอยเตอร์)

...

ส่วนทรัมป์เองก็อึดอัดใจยิ่ง เพราะถ้าพิสูจน์ได้ว่าผู้นำซาอุฯเป็นตัวการ สหรัฐฯในฐานะ “ตำรวจโลก” และพันธมิตรตะวันตก จะถูกกดดันให้ “ลงโทษ” ซาอุฯอย่างรุนแรง แต่ในความเป็นจริง ยากที่จะทำเช่นนั้นได้ เพราะจะกระทบสายสัมพันธ์อันแนบแน่นและผลประโยชน์มหาศาลในด้านต่างๆ

ซาอุฯเป็นชาติผู้ส่งออกน้ำมันอันดับ 1 ของโลก มีน้ำมันสำรองถึง 18% ของทั้งโลก จึงมีอำนาจอิทธิพลสูงมาก ถ้าซาอุฯถูกคว่ำบาตรลงโทษ อาจตอบโต้ด้วยการลดการผลิตน้ำมัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งกระฉูด ดังคำขู่ของเตอร์กี อัลดาคิล ผู้จัดการใหญ่ทีวี “อัล อาราบิยา” ของรัฐบาลซาอุฯ ที่ว่า ราคาน้ำมันโลกอาจพุ่งถึง 100-200 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือสูงกว่านั้น 2 เท่า!

สถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (Sipri) ยังระบุว่า ปี 2560 ซาอุฯมีงบประมาณกลาโหมสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก โดยทำสัญญาซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ ถึง 110,000 ล้านดอลลาร์ฯ และมีออปชันซื้อเพิ่มเป็น 350,000 ล้านดอลลาร์ใน 10 ปี ซึ่งเป็นสัญญาซื้ออาวุธครั้งเดียวที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ

รองจากสหรัฐฯ ซาอุฯ ยังซื้ออาวุธจากอังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี อิตาลี แคนาดา ตุรกี สวีเดน ซึ่งถ้าซาอุฯ “งอน” เลิกซื้อ อาจหันไปซื้ออาวุธจาก “จีน” และ “รัสเซีย” แทน ซึ่งทรัมป์ประกาศว่าจะไม่ยอมทำร้ายตัวเองเช่นนั้น

สหรัฐฯกับซาอุฯเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์มานานถึง 73 ปี ซาอุฯยังมีบทบาทสำคัญยิ่งในการรักษาความมั่นคงในตะวันออกกลางและต่อสู้กับกลุ่มหัวรุนแรงและผู้ก่อการร้าย ทั้งเป็นหนึ่งในพันธมิตรโลกนำโดยสหรัฐฯ ต่อสู้กองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) ปีที่แล้ว ซาอุฯก็เป็นหัวหอกตั้งกองกำลังพันธมิตรอิสลามร่วมกับอีก 40 ชาติมุสลิมเพื่อต่อสู้การก่อการร้ายด้วย

ถ้าซาอุฯ ถูกคว่ำบาตร ความเป็นพันธมิตรเหล่านี้อาจถูกคว่ำกระดาน เสียหายป่นปี้!

จี้สอบสวน  –  หลุยส์ ชาร์บอนนู ผอ.กลุ่มฮิวแมน ไรท์ส วอทช์ ในยูเอ็น (ซ้าย) และโรเบิร์ต มาโฮนี รองผู้บริหารของคณะกรรมการปกป้องนักข่าว (ซีพีเจ) แถลงข่าวที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ในนิวยอร์ก เรียกร้องให้ยูเอ็นสอบสวนคดีนายจามาล คาช็อกกี นักข่าวอาวุโสชาวซาอุฯ หายตัวไปในสถานกงสุลซาอุฯ ในตุรกี (รอยเตอร์)
จี้สอบสวน – หลุยส์ ชาร์บอนนู ผอ.กลุ่มฮิวแมน ไรท์ส วอทช์ ในยูเอ็น (ซ้าย) และโรเบิร์ต มาโฮนี รองผู้บริหารของคณะกรรมการปกป้องนักข่าว (ซีพีเจ) แถลงข่าวที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ในนิวยอร์ก เรียกร้องให้ยูเอ็นสอบสวนคดีนายจามาล คาช็อกกี นักข่าวอาวุโสชาวซาอุฯ หายตัวไปในสถานกงสุลซาอุฯ ในตุรกี (รอยเตอร์)

...

นอกจากนี้ ซาอุฯกับสหรัฐฯยังร่วมมือใกล้ชิดในการคานอำนาจ “อิหร่าน” โดยซาอุฯ ซึ่งเป็นชาติมุสลิมสุหนี่ ทำ “สงครามตัวแทน” กับอิหร่านซึ่งเป็นมุสลิมชีอะห์มาหลายสิบปี และในสงครามกลางเมืองซีเรีย สหรัฐฯ และซาอุฯ สนับสนุนฝ่ายกบฏเพื่อโค่นล้มรัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ซึ่งมีอิหร่านกับรัสเซียหนุนหลัง ซึ่งหลังรัสเซียเข้าไปช่วย ทำให้ “เกมพลิก” ฝ่ายอัสซาดใกล้ชนะสงคราม

ในด้านการค้าและการลงทุน ถ้าสหรัฐฯ คว่ำบาตรซาอุฯ บริษัทต่างๆของสหรัฐฯจะสูญเสียตลาดใหญ่ในซาอุฯ โดยในปี 2560 มูลค่าการค้า และบริการระหว่างสหรัฐฯ กับซาอุฯ สูงถึง 46,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสหรัฐฯได้เปรียบดุลการค้า 5,000 ล้านดอลลาร์ การค้าทวิภาคียังทำให้คนอเมริกันมีงานทำถึง 165,000 ตำแหน่งในปี 2558

ดังนั้น ซาอุฯ ซึ่งมีมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน กุมอำนาจสูงสุดอยู่เบื้องหลังกษัตริย์ซัลมานพระราชบิดาตั้งแต่ปีที่แล้ว จึงมั่นใจและหยิ่งทะนงในอำนาจอิทธิพลของตนอย่างยิ่ง!

การเข้าแทรกแซงสงครามกลางเมืองเยเมนจนผู้คนตายนับหมื่นโดยที่สหรัฐฯนิ่งเงียบ และการระงับการค้ากับ “แคนาดา” ในเดือน ส.ค.ปีนี้ เพราะแคนาดาแค่เรียกร้องให้ซาอุฯปล่อยตัวนักเคลื่อนไหวภาคประชาสังคมและสิทธิสตรี
คือตัวอย่างของความหยิ่งผยอง ไม่สนใครหน้าไหนของซาอุฯ ยุคนี้

แม้คดีคาช็อกกีจะทำให้ผู้แทนหลายประเทศและผู้บริหารของหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ “บอยคอต” ไม่ไปร่วมการประชุม “ความริเริ่มการลงทุนในอนาคต” เพื่อโปรโมตแผนปฏิรูปของมกุฎราชกุมารฯ ที่กรุงริยาดใน 23-25 ต.ค.นี้ แต่ดูเหมือนซาอุฯ จะไม่ยี่หระ

และถ้าซาอุฯบงการฆ่า “คาช็อกกี” จริง ก็คงไม่แปลก เพียงแต่ว่าสหรัฐฯและพันธมิตรจะกล้าหักหาญ “ทุบหม้อข้าวตัวเอง” ลงโทษซาอุฯ อย่างรุนแรงหรือไม่ เพราะเค้าเดิมพันมันสูงมาก!

...

บวร โทศรีแก้ว