“วินัย ทองสอง” 1 ในคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความขัดแย้งของบุคลากร ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง แจ้งเลื่อนแถลงข่าวความคืบหน้าการสอบสวน 2 บิ๊กตำรวจพัวพันเส้นทางการเงินเว็บพนันออนไลน์ หลังผู้เกี่ยวข้องทั้งฝั่งของ “บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก” ยังเข้า ให้ข้อมูลไม่ครบ คาดหลังวันที่ 13 พ.ค. สามารถชี้แจง ได้ทุกประเด็น

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เมื่อวันที่ 8 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีที่ พล.ต.อ.วินัย ทองสอง 1 ในคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความขัดแย้งในเรื่องคดีของบุคลากรภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้น เตรียมแถลงข่าวความคืบหน้าของการสอบสวน 2 บิ๊กตำรวจพัวพันเส้นทางการเงินเว็บพนันออนไลน์ต่อสื่อมวลชนภายในสัปดาห์นี้ เพื่อชี้แจงทุกประเด็นเกี่ยวกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงินดังกล่าว มีรายงานว่าคณะกรรมการจะเลื่อนการแถลงข่าวออกไปในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม เนื่องจากขณะนี้อยู่ระหว่างเชิญผู้เกี่ยวข้องทั้ง 2 ฝ่ายจำนวน 4-5 คนเข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติม โดยเฉพาะในส่วนของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ที่ก่อนหน้านี้สอบปากคำพยานไปเกือบแล้วเสร็จ ยังมีพยานอีก 1-2 คน ที่จะเดินทางเข้าให้ข้อมูล ขณะที่ฝั่ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ก่อนหน้านี้คณะกรรมการได้เชิญเข้าให้ข้อมูลไปแล้ว โดยในส่วนของภรรยาและเครือญาติของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ทำหนังสือชี้แจงส่งมาให้คณะกรรมการแทน แต่ยังต้องรอสอบปากคำพยานเพิ่มเติมเช่นเดียวกัน คาดหลังวันที่ 13 พ.ค.คณะกรรมการจะสามารถชี้แจงประเด็นต่างๆได้ครอบคลุมทุกประเด็น

อีกด้าน ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีรายงานว่าเมื่อวันที่ 7 พ.ค. ศาลนัดอ่านคำพิพากษาชั้นตรวจฟ้องคดีที่ พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ อดีต ผบก.ศฝร.บช.น. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.มนต์ชัย บุญเลิศ รอง ผกก.บก.สอท.5 พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.น. ร.ต.อ.ฤทธิ์ธาดา เครือสุข พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ พ.ต.อ.ธรรมศักดิ์ สารบุญ ผกก.สน.ทุ่งมหาเมฆ เป็นจำเลยในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

...

คำฟ้องสรุปว่าจำเลยทั้งสี่เป็นตำรวจชุดปฏิบัติการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ชุดที่ 4 (PCT 4) ได้รับเบาะแสข้อมูลทางลับจากการสืบสวนขยายผลเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ ศปอส.ตร.ชุดที่ 4 มีจำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าชุดทำการสืบสวน รวบรวมพยานหลักฐานและวิเคราะห์เส้นทางการเงินกลุ่มผู้กระทำความผิดและหาข้ออ้างว่าโจทก์ซึ่งมีตำแหน่งเป็น ผบก.ศฝร.บช.น.และเป็นทีมงานของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ในช่วงขณะเกิดเหตุ ร่วมกระทำความผิดกับเว็บไซต์ดังกล่าว ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง จำเลยที่ 1 และ 2 สร้างหลักฐานการวิเคราะห์พยานหลักฐานต่างๆ โดยไม่มีข้อมูลชัดเจนแต่อย่างใด ทำให้โจทก์เชื่อว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลัง

จำเลยที่ 1 และ 2 อ้างว่าโจทก์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดและดำเนินการเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อจำเลยที่ 3 และ 4 ที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ แต่กลับไม่ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ในเขตอำนาจการสอบสวนของตน ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ส่วนจำเลยที่ 3 และ 4 ได้รับคำร้องทุกข์ของจำเลยที่ 1 เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับบุคคลเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ตาม ป.วิ อาญา ม.18 กำหนดอำนาจหน้าที่พนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบไว้แล้วกล่าวคือ เมื่อจำเลยที่ 1 และ 2 สืบสวนในเขตพื้นที่ของตนซึ่งมีที่ตั้งอยู่ที่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี จึงมิใช่พื้นที่อำนาจสอบสวนของจำเลยที่ 3 และ 4 ถือว่าจำเลยที่ 3 และ 4 กระทำการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วย

นอกจากนี้ จำเลยทั้ง 4 ย่อมทราบดีว่ายังมีกลุ่มบุคคลที่มีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกับผู้ต้องหาในคดีนี้เช่นเดียวกันกับโจทก์หลายคน แต่จำเลยทั้ง 4 กลับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ดำเนินคดีและไม่ยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายจับหรือหมายเรียกบุคคลอื่น จำเลยทั้ง 4 จงใจปฏิบัติที่มุ่งเน้นขอให้ศาลออกหมายจับโจทก์และตำรวจที่มีความใกล้ชิดกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รวม 8 นายเท่านั้น ทั้งที่พยานหลักฐานเป็นพยานหลักฐานชุดเดียวกัน

ภายหลังศาลพิเคราะห์คำฟ้องคดีนี้แล้วมีคำพิพากษาว่า ข้อเท็จจริงตามฟ้องเพียงพอแก่การวินิจฉัย การกระทำของจำเลยทั้งสี่ไม่เป็นความผิดตามฟ้อง กรณีไม่จำต้องรับฟ้องโจทก์ไว้เพื่อไต่สวนมูลฟ้อง ให้ยกฟ้องชั้นตรวจฟ้อง

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่