รองโฆษก ตร. กางโต๊ะแถลงยิบ ปม “ช่อ” จ้อนอกสภาฯ โยงเอี่ยวคดีฟอกเงินฉาวในมาเลย์ ยันรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือเครือข่ายฟอกเงินของแก๊ง 1MDB แต่ประการใด

เมื่อวันที่ 26 ก.พ.63 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณี น.ส.พรรณิการ์ วานิช ได้กล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในคดีทุจริต 1MDB โดยการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ในการปกปิดเอาคนบริสุทธิ์เข้าคุก ตลอดจนให้ที่พักพิงอาชญากรอันเป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ว่า กรณีกล่าวหาว่ามีการกลั่นแกล้งจับกุม นายซาเวีย จัสโต ชาวสวิตเซอร์แลนด์ หนึ่งในผู้บริหารของบริษัท ปิโตรซาอุดิ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่เป็นเครือข่ายฟอกเงิน 1MDB ที่ลาออกและนำข้อมูลมาเปิดเผยต่อสาธารณะ

จากการตรวจสอบพบว่า เมื่อเดือน พ.ค.2558 นายซาเวีย ได้ถูกเจ้าหน้าที่ บก.ป.จับกุมดำเนินคดี จากที่มีผู้เสียหายได้เข้าร้องทุกข์ว่ามีพฤติกรรมข่มขู่รีดเอาทรัพย์บริษัทน้ำมันแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทที่ นายซาเวีย เคยทำงานอยู่ หลังจากการดำเนินคดีนายซาเวียได้ให้การรับสารภาพ โดยในวันที่ 17 ส.ค.2558 ศาลจึงได้พิพากษาลงโทษจำคุก 6 ปี และลดโทษให้เป็น 3 ปี ระหว่างการถูกคุมขังในเรือนจำ มีการยื่นคำร้องขอโอนตัวนายซาเวียกลับไปรับโทษต่อยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ตามสนธิสัญญา แต่เนื่องจากขณะนั้นยังเหลือโทษที่ต้องจำคุกมากกว่า 1 ปี ซึ่งตาม พ.ร.บ.การปฏิบัติเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ ในการดำเนินการตามคำพิพากษาคดีอาญา พ.ศ.2557 กำหนดให้การโอนตัวนักโทษได้นั้นจะต้องเหลือโทษที่จำคุกน้อยกว่า 1 ปี คณะกรรมการพิจารณาโอนตัวนักโทษได้พิจารณาเมื่อวันที่ 14 ก.ย.2559 แล้วมีมติยังไม่ให้โอนตัวนายซาเวีย หลังจากที่นายซาเวียถูกจำคุกเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน ได้รับการปล่อยตัวตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ เนื่องในวโรกาสสำคัญของชาติ 2 ฉบับ ซึ่งหากรัฐบาลหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติกลั่นแกล้งนายซาเวีย น่าจะไม่ได้รับโอกาสดังกล่าว เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2559 ภายหลังจากที่นายซาเวียพ้นโทษและได้ถูกผลักดันออกนอกราชอาณาจักร เนื่องจากเป็นผู้ที่ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาของศาลไทย จึงถูกจัดเก็บข้อมูลไว้ในระบบสารสนเทศของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 12 (6), (7) ถูกสั่งห้ามเข้าประเทศตลอดชีวิต ซึ่งในระบบจะบันทึกว่าห้ามเข้าประเทศ 100 ปี จากข้อเท็จจริงดังกล่าวสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้ช่วยปกปิดข้อมูลหรือกลั่นแกล้งนายซาเวียแต่อย่างใด

...

พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีกล่าวหาว่าให้ความคุ้มครองช่วยเหลือ นายโจ โล, นายตังเคงฉี และ นางจัสมิน ลู ให้สามารถเข้าออกและพักอาศัยในประเทศได้ ทั้งที่สิงคโปร์และมาเลเซีย ได้ขอให้ตำรวจสากลออกหมายแดง เพื่อให้กลุ่มประเทศสมาชิกจับกุมบุคคลที่มีหมายจับหรือผู้ร้ายข้ามแดนเมื่อได้รับการร้องขอ จากการตรวจสอบพบว่า ทั้ง 3 คน มีการเข้าออกช่องทางตามกฎหมายอย่างถูกต้อง และบันทึกการเข้าออกไว้ตลอด สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้มีการช่วยเหลือหรือลบข้อมูลแต่อย่างใด โดยทั้ง 3 คนได้เดินทางเข้าออกประเทศไทยก่อนที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะมีการเชื่อมต่อระบบสารสนเทศกับฐานข้อมูลของตำรวจสากล

ทั้งนี้ภายหลังมีการเชื่อมต่อระบบฐานข้อมูล ตั้งแต่วันที่ 29 เม.ย.2562 สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจึงทราบว่ามีการออกหมายแดงดังกล่าว ซึ่งบุคคลทั้ง 3 ก็ไม่ได้มีการเดินทางเข้าประเทศไทยอีก

สำหรับการเชื่อมต่อระบบข้อมูลข่าวสารระหว่าง ตำรวจสากล กับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องนี้เดิม ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ 18 เม.ย.2560 เห็นชอบในหลักการให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สามารถเข้าถึงระบบข้อมูลข่าวสารกับตำรวจสากลได้ แต่เนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องไปดำเนินการในรายละเอียด ตั้งแต่ ยกร่างบันทึกข้อตกลง การจัดหางบประมาณ การลงนาม และการเชื่อมต่อข้อมูล ตลอดจนให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองดำเนินจัดซื้อจัดจ้างเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสำหรับตรวจสอบหมายของคนต่างด้าว และใช้ได้ ในวันที่ 29 เม.ย.2662 จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏข้างต้น จึงขอเรียนให้ทราบว่า รัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือเครือข่ายฟอกเงินของแก๊ง 1MDB แต่ประการใด.