ถ้า กกต. ของ ท่านประธาน อิทธิพร บุญประคอง ไม่ดึงการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งให้ล่าช้าออกไป คาดว่าในสัปดาห์นี้จะมีการประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.อย่างเป็นทางการรอบแรก หลังจากที่มีการเลือกตั้งไปตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม นับถึงวันนี้ก็ปาเข้าไป 37 วันแล้ว แต่จะมีการรับรอง ส.ส.เขตถึง 95% หรือ 380 เขต หรือไม่ ยังต้องลุ้นกันต่อไปจนกว่า กกต.จะประกาศผลออกมาอย่างเป็นทางการ ถ้า กกต.รับรอง ส.ส.ไม่ถึง 95% ก็ยังไม่สามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรกได้ ทำให้ไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ต่อไปได้
ชื่อที่ต้องจับตาเป็นพิเศษก็คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จะได้รับการรับรองจาก กกต.ในครั้งนี้ด้วยหรือไม่
ประเทศเสรีประชาธิปไตยทั่วโลก เขาใช้ “เวทีการเลือกตั้ง” เป็นเวทีตัดสินใจในการเลือก รัฐบาลใหม่ เมื่อรัฐบาลเก่าอยู่ครบเทอมหรือมีเหตุต้องออกไป และ เป็นเวทีตัดสินความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้าน โดยให้ “ประชาชน” เจ้าของอำนาจอธิปไตยเป็น “ผู้ตัดสินใจ” ด้วยการไปออกเสียงเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้งออกมาเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น ประชาชนออกเสียงเลือกตั้งไปแล้ว ไม่ต้องรอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่กี่คนมาตัดสินใจอีกรอบ ไม่ต้องรอลุ้นกันอย่างระทึกใจเหมือนประเทศไทย คนที่ประชาชนเลือกมาจะ “ถูกสอย” ด้วยสารพัดวิชามารหรือไม่ อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะถ้ามีการทุจริตเลือกตั้ง ก็มีกฎหมายลงโทษอยู่แล้ว
ก็หวังว่า กกต. จะไม่ร่วมเกม “เตะตัดขา” ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ อย่างที่คนในพรรคร่วมรัฐบาลเก่าและ ส.ว.บางกลุ่ม ที่ทำกันอยู่ในเวลานี้ เพื่อทำให้การตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่และรัฐบาลชุดใหม่ต้องล่าช้าออกไป ซึ่งส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจประเทศอย่างรุนแรง
คุณเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยถึง ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมาว่า ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 แล้ว จากระดับ 95.0 ลงมาอยู่ที่ระดับ 92.5 โดยดัชนีลดลงทุกองค์ประกอบ ทั้งดัชนีคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิตโดยรวม ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ ดัชนีคาดการณ์ล่วงหน้า 3 เดือนก็ลดลงต่อเนื่อง สิ่งสำคัญที่จะต้องเร่งดำเนินการในเวลานี้ก็คือ การเร่งให้มีการจัดตั้งคณะรัฐบาลใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
คุณเกรียงไกร บอกว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้ มีเครื่องจักรขับเคลื่อนเพียงตัวเดียวคือการท่องเที่ยว โดยหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 30 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศราว 2 ล้านล้านบาท ขณะที่ การส่งออกเริ่มชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯและอียู การส่งออกไปจีนก็ได้รับผลกระทบ การค้าชายแดนก็หดตัว
คุณเกรียงไกร ยังได้แสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ทางการเมืองว่า หากการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้าเกินกว่าไทม์ไลน์ในเดือนสิงหาคม 2566 ออกไปถึงสิ้นปีนี้ จะส่งผลให้การจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 67 ล่าช้าออกไป จะขาดแรงกระตุ้นเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหาที่รุมเร้า เช่น วิกฤติราคาพลังงาน สถานการณ์ภัยแล้ง จะยิ่งส่งผลกระทบในวงกว้าง ทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ต่ำกว่าที่ กกร.เคยคาดการณ์ไว้ที่ 3.0-3.5% ลดลงมาเหลือ 2.0-2.5% รวมทั้งอาจเกิดปัญหาความไม่สงบด้วย
ฟังดูก็น่าเป็นห่วงครับ ยิ่งทำให้การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้าเศรษฐกิจของชาติก็ยิ่งพัง
และ พวกที่ทำให้ประเทศชาติมีปัญหาในเวลานี้ เป็นพวกที่ชอบประกาศตัวเองว่า รักชาติ และ ผูกขาดความรักชาติ แต่พอไม่ได้ประโยชน์ ก็เตะตัดขาประเทศชาติเสียยังงั้น ทำให้เกิดสุญญากาศ ทำให้เศรษฐกิจประเทศชาติและประชาชนเสียหายกันทั้งประเทศ.
“ลม เปลี่ยนทิศ”