บริจาค เศวต เศวตสมภพ ในนาม บ.ซีโนแปซิฟิค เทรดดิ้ง มอบเงินบริจาค 1,000,000 บาท ให้แก่ ผศ.สุพัตรา ลีลาภิวัฒน์ เลขานุการมูลนิธิรามาธิบดี เพื่อสมทบทุนมูลนิธิรามาธิบดี โครงการเครื่องเอกซเรย์ตรวจสวนหัวใจและหลอดเลือด ที่อาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ มูลนิธิรามาธิบดี วันก่อน.
ร่วมใจรักษากฎสาธารณสุขฝ่าวิกฤติโควิด หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ ยักษ์ใหญ่สารพัดสี จำหน่ายมากที่สุดของประเทศ ฉบับประจำวันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564
“ธนูเทพ” ประจำการรับใช้ท่านผู้อ่าน...ในห้วงสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญมหันตภัยไวรัสโควิด-19 ระบาดระลอกใหญ่ หลังช่วงเทศกาลสงกรานต์ มีผู้ติดเชื้อใหม่รายวันพุ่งกระฉูดกว่าวันละ 1,500 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีการติดเชื้อแพร่กระจายเป็นวงกว้างไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ...
...
เมื่อวันที่ 15 เม.ย. อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ระบุภายหลังเป็นประธานการ ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ว่าที่ประชุมมีมติเรื่องมาตรการรองรับการระบาดไปจนถึงสิ้นเดือน เม.ย. โดยมีการแบ่งโซนพื้นที่ควบคุม แบ่งเป็น 2 สี โดย เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด สีแดง 18 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ชลบุรี สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสาคร ปทุมธานี นครปฐม ภูเก็ต นครราชสีมา นนทบุรี สงขลา ตาก อุดรธานี สุพรรณบุรี สระแก้ว ระยอง และ ขอนแก่น ส่วนที่เหลืออีก 59 จังหวัด เป็นพื้นที่ควบคุม สีส้ม...
โดยมาตรการ พื้นที่สีแดง ร้านอาหารเปิดให้รับประทานได้ถึง 21.00 น. พื้นที่สีส้ม นั่งรับประทานได้ถึง 23.00 น. และมีมาตรการเข้ม ให้ จังหวัดพื้นที่สีแดง และ พื้นที่สีส้ม ปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ อาบอบนวด ห้ามจำหน่ายสุราในร้านอาหาร งดการเรียนการสอน งดกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันจำนวนมาก งดงานเลี้ยงสังสรรค์ทุกประเภท ยกเว้นการจัดในครอบครัว งดกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันมากกว่า 50 คน ปิดบริการสวนสนุกและเครื่องเล่นในห้างสรรพสินค้า ส่วนการเดินทางให้ คณะกรรมการโรคติดต่อประจำจังหวัด เป็นผู้พิจารณา แต่ยังไม่ถึงขั้นต้องใช้มาตรการ ล็อกดาวน์ โดยเสนอให้ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. พิจารณาอนุมัติ
มาถึงวันนี้ คงรู้ชัดกันแล้วว่า ศบค. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม นั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน เคาะมาตรการแบ่งโซนพื้นที่ จังหวัดสีแดง และ สีส้ม รวมไปถึงมาตรการปิดสถานบันเทิง ตามที่ คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เสนอมาทั้งหมดหรือไม่ มีการ เพิ่มความเข้ม หรือ ลดระดับของมาตรการ เพราะที่ “ธนูเทพ” ปั่นต้นฉบับตีพิมพ์ ศบค. ยังไม่ได้เริ่มประชุมวิเคราะห์แยกแยะ ข้อดี ข้อเสีย ของมาตรการต่างๆ แต่โดยสถานการณ์ที่การแพร่ระบาดของ ไวรัสโควิด ขยายวงกว้าง และมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวนมาก เข้าใกล้ขั้นวิกฤติ ถ้า รัฐบาล
โดย ศบค. ยังใช้มาตรการหน่อมแน้ม ไม่กล้าใช้ยาแรง ออกมาตรการเข้ม เพื่อสกัดไวรัสมรณะ จะด้วยเหตุผลกลัวกระแสถล่มจาก ผู้ที่ประสบความเดือดร้อน จากการโดนปิดกิจการต่างๆ หรือเป็นห่วงเรื่อง การหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ เนื่องจากรัฐบาล อยู่ในภาวะงบประมาณร่อยหรอ เก็บภาษีไม่เข้าเป้า ไม่มีงบฯที่จะเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ถ้าออกมาแนวนี้ รัฐบาล ก็จะต้องรับผิดชอบกับ สถานการณ์วิกฤติไวรัสโควิด ที่อาจจะมีการแพร่เชื้อลุกลาม จนกลายเป็น มหาวิกฤติเชื้อโรค
...
ขณะเดียวกัน หาก รัฐบาล กล้าหาญตัดสินใจใช้ มาตรการเข้ม อัดยาแรงเพื่อสกัดกั้นป้องกันไวรัสโควิด โดยมองถึงผลกระทบด้านสุขภาพ คำนึงถึงความเป็นความตายของประชาชนส่วนใหญ่ ก็ต้องชื่นชม แม้ต้องเจอเสียงด่าจากชาวบ้านบางส่วน และโดน พรรคการเมืองฝ่ายค้าน ตามถล่มซ้ำย้ำแผลเรื่องไร้น้ำยาในการบริหารจัดการ วิกฤติโควิด ก็ต้องยอม ถือว่า เป็นการไถ่บาป ด้วยการช่วยให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ปลอดภัยจากไวรัสมรณะ เพราะที่ผ่านมา นายกฯประยุทธ์ และ รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ก็ต้องยอมรับเรื่องความผิดพลาดบกพร่องในการกำกับดูแลสถานที่อโคจร
ทั้งสถานบันเทิง ผับ บาร์ เลานจ์ ที่เป็นแหล่งต้นตอคลัสเตอร์ใหญ่ ทำให้โควิดระบาดระลอก 3 รวมไปถึงการบริหารจัดการในการจัดหา วัคซีนป้องกันโควิด ที่มีความล่าช้า และไม่เพียงพอ ที่จะนำมากระจายฉีดให้แก่ประชาชนได้ทั่วถึงทั้งประเทศในเวลาที่รวดเร็ว เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันการแพร่ระบาด...ฉะนั้นงานนี้ เจ็บก็ต้องยอม เพื่อหยุดวิกฤติเชื้อโรค
ที่สำคัญ ประชาชน ที่กำลังเผชิญสถานการณ์ภัยคุกคามจาก ไวรัสโควิด ก็สมควรต้องให้ความร่วมมือกับการปฏิบัติตามมาตรการข้อกำหนดของ ศบค. และมาตรการ ด้านสุขอนามัยของกระทรวงสาธารณสุข อย่างเต็มที่ อย่างน้อยๆ ต้องร่วมใจตั้งการ์ดสูง ใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนแออัด เพราะคนที่ติดเชื้อและเป็นพาหะไวรัสโควิดจนแพร่ระบาดกระจายไปทั่วประเทศส่วนใหญ่มักละเลยการป้องกัน การ์ดตก รวมถึงเป็น พวกขาดจิตสำนึก ตะลุยเที่ยวสถานบันเทิง ทั้งที่อยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน สถานการณ์โควิดในประเทศยังไม่คลี่คลาย แต่พอติดเชื้อขึ้นมาก็โบ้ยบ้ายโวยวาย โยนให้เป็นความผิดของ รัฐบาล อย่างเดียว โดยไม่มองพฤติกรรมไร้สำนึกของตัวเอง คนประเภทนี้ต้องประณาม
...
ผ่างๆ...จากกรณีที่มีกระแสข่าว พระลูกวัด และ ลูกศิษย์วัดเทพศิรินทร์ ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สั่งการ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ตรวจสอบพบว่า พระลูกวัด และ ลูกศิษย์วัด ดังกล่าว เป็นพระมาบวชใหม่ ก่อนบวชได้เดินทางไปเที่ยวสถานบันเทิงย่านทองหล่อ จึงทำให้เกิดการระบาดภายในวัด ล่าสุดจึงสั่งการให้ พศ. ประสานไปทุกวัด ให้มีการพ่นยาฆ่าเชื้อในบริเวณวัด โดยเฉพาะพระอารามหลวง วัดที่เป็นที่ท่องเที่ยว และสถานที่ในวัดที่มีประชาชนเข้าไปกราบไหว้สักการะจำนวนมาก รวมทั้งให้เข้มงวดพระบวชใหม่ทุกรูป ต้องมีผลการตรวจเชื้อโควิด-19 ยืนยันก่อน จึงให้บวชได้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในศาสนสถาน
...
โดยเน้นย้ำ พศ. แจ้งไปยัง พศ.จังหวัด ทุกจังหวัด ประสานไปยัง เจ้าคณะจังหวัด ให้เข้มงวดกวดขันวัดที่มีการจัดงานและพิธีต่างๆ ขอให้ปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันและปฏิบัติตามมติ มหาเถรสมาคม (มส.) อย่างเคร่งครัด พร้อมขอความร่วมมือประชาชนที่เดินทางไปยังวัด หรือศาสนสถานต่างๆ ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคที่ภาครัฐกำหนดอย่างเคร่งครัด...ทุกคนทุกฝ่ายต้องช่วยกัน เพื่อให้วัดวาอารามและศาสนสถาน ที่ถือเป็นที่พึ่งทางใจของประชาชนในยามเผชิญทุกข์ ให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย อย่าให้พระสงฆ์องค์เจ้าต้องเดือดร้อนไปด้วย
อืม...นี่ก็เพื่อความปลอดภัยของทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ ในห้วงเชื้อไวรัสโควิดแพร่ระบาดหนัก ธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี แจ้งว่า สำนักนายกรัฐมนตรี ขอปรับเปลี่ยนช่องทางการให้บริการประชาชนเพื่อรับเรื่องราวร้องทุกข์ เนื่องจากปัจจุบันมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ มีผู้ติดเชื้อภายในประเทศเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
จึงขอปรับเปลี่ยนช่องทางการให้บริการ รับเรื่องราวร้องทุกข์ และ รับคำขอแจ้งสถานะความเป็นองค์กรของผู้บริโภค จากช่องทางที่ประชาชนต้องเดินทางมาด้วยตนเอง เป็นการให้บริการผ่าน 4 ช่องทาง ประกอบด้วย ตู้ไปรษณีย์ 1111, โทรศัพท์สายด่วนของรัฐบาล 1111, เว็บไซต์ www.1111.go.th และ โมบายแอปพลิเคชัน (PSC 1111) ตั้งแต่วันที่ 16 เม.ย. จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคไวรัสโควิดจะลดลง ทั้งนี้ หากสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ จะแจ้งการเปิดให้บริการรับเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชน ณ จุดบริการประชาชน 1111 ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ทราบโดยเร็วต่อไป...โปรดรับทราบโดยทั่วกัน
ฮัดชิ้ว...ในขณะที่ชาวบ้านชาวช่องตื่นตัวกลัวโควิด แต่เรื่องของการเมืองก็ยังต้องเดินต่อไปตามไทม์ไลน์ ราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเน้นย้ำถึงการเดินหน้ายื่นญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในส่วนของ 3 พรรคร่วมรัฐบาล ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย และ พรรคชาติไทยพัฒนา ที่จะร่วมเสนอญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ฉบับ ว่า เนื้อหาเบื้องต้นที่ พรรคประชาธิปัตย์ เตรียมเสนอให้อีก 2 พรรคร่วมรัฐบาล พิจารณา อาทิ ประเด็นแก้ไขมาตราว่าด้วยสิทธิของประชาชน จำนวน 4 มาตรา เช่น สิทธิในกระบวนการยุติธรรม สิทธิที่ดินทำกิน สิทธิผู้บริโภค และสิทธิชุมชน ประเด็นระบบเลือกตั้ง
เนื้อหาจะยึดการเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญ ปี 2550 คือ ให้มี ส.ส.เขต 400 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน โดยใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ประเด็นว่าด้วยการเลือกนายกรัฐมนตรี จะเสนอแก้ไข 3 มาตรา อาทิ มาตรา 159 เพิ่มเนื้อหาให้บุคคลที่เสนอชื่อให้สภาฯ ลงมติเลือกเป็น นายกฯ ต้องเป็น ส.ส. และตัดมาตรา 272 ที่ให้อำนาจ ส.ว.ร่วมเลือกนายกฯ รวมถึงประเด็นแก้ไขมาตรา 256 ว่าด้วยกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กำหนดให้ใช้เสียงรับหลักการไม่น้อยกว่า 3 ใน 5 และตัดส่วนของเสียง ส.ว. 1 ใน 3 ออก โดยจะให้ตัวแทนทั้ง 3 พรรค พิจารณาอีกครั้งว่าจะเพิ่มเติมปรับปรุงประเด็นใดหรือไม่...ต้องรอลุ้นล่มปากอ่าวรึเปล่า
สังคมวันอาทิตย์...
ศพ พ.อ.หญิงศรีพธู วิทยาสารรณยุต มารดา วิทย์วรรณ วิทยาสารรณยุต ตั้งสวดศาลา 8 วัดโสมนัสฯ 18.00 น. ถึง 20 เม.ย. ฌาปนกิจ 21 เม.ย. 15.30 น.
ศพ วิวัฒน์ นาคปนันท์ ตั้งสวดศาลา 26 วัดธาตุทอง 19.00 น. ถึง 20 เม.ย. และ 21 เม.ย. พิธีกงเต๊ก ฌาปนกิจ 22 เม.ย. 17.00 น.
"ธนูเทพ"