ตั้งใจว่า พอเรียนจบการกำกับภาพยนตร์ที่ School of Visual Arts ที่นิวยอร์กในเดือนพฤษภาคมนี้แล้วจะอยู่ฝึกงานที่นั่นต่อ แต่ด้วยความเป็นห่วงลูกชาย คุณพ่อคุณแม่ นพ.ฉัตรชัย-ทพ.หญิงสิรพัชร์ ตรีธรรมพินิจ ซึ่งเห็นว่าโควิดในนิวยอร์กอันตรายมาก จึงให้ น้องเปตอง-ภูรินทร์ บินด่วนกลับเมืองไทย มาอยู่ใกล้หูใกล้ตา--พอ น้องเปตอง ถึงเมืองไทย ก็ต้องถูกส่งไปกักตัวที่สัตหีบทันที

ด้วยความที่เป็นนักกีฬาเก่าของเด็กวชิราวุธ เปตอง จึงเคารพกติกา ทำทุกอย่างที่ทางการกำหนด (แม้ว่าจะได้เห็นคนโพสต์ด่าเรื่องความเป็นอยู่ในสถานที่กักตัวมาบ้าง) พอถึงสัตหีบ เปตอง ผู้มองโลกในแง่ดี เห็นทุกอย่างเป็นสิ่งสวยงามและขบขันทุกอย่าง จึงไม่ได้คิดเอาแต่ได้ หรืออารมณ์เสีย เอาแต่ใจตัวเองเหมือนพวกที่สร้างปัญหา (ที่บางคนคงคิดว่าสถานที่กักตัว จะสุขสบายเหมือนกับซื้อแพ็กเกจพักโรงแรมห้าดาวพร้อมอาหารมิชลิน สตาร์)

ทุกเช้าตอนตีสาม เปตอง ต้องตื่นมาเข้าคลาสออนไลน์ ที่อาจารย์จะเลกเชอร์ตรงจากนิวยอร์ก หลังเลิกเรียน ก็ซักผ้าเอง เพราะได้วิทยายุทธจากการซักให้รุ่นพี่สมัยอยู่โรงเรียนประจำ พอมีเวลาว่าง เปตอง ก็เขียน Facebook เล่าชีวิตในสถานที่กักตัว ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยสำนวนที่สนุกสนาน มีจิกกัดพอเจ็บๆคันๆ จนมีแฟนคลับติดตามเป็นหมื่น กับยอดแชร์อีกมากมาย แสดงให้เห็นว่าวิชาเขียนบทภาพยนตร์ที่เรียนมา เปตอง ต้องทำได้ดีมาก เท่านั้นยังไม่พอ เปตอง ยังรู้จักใช้วิกฤติให้เป็นโอกาส เพราะถือโอกาสไทอิน สินค้าโฆษณา ขายรองเท้ายี่ห้อ Dipsy Daisy ของ พี่พลอย-นภฉัตร พี่สาวที่เป็นบัณฑิตหมาดๆจากสถาปัตย์จุฬา ทำเอายอดขายพุ่งกระฉูด ทุกวันนี้ จึงมีจำนวนแฟนคลับนั่งรอให้จบวัน เพื่อลุ้นอ่านไดอารีสนุกๆของ เปตอง พอๆกับที่คนไทยรอลุ้นว่า วันนี้ยอดคนติดเชื้อโควิดจะมีจำนวนเท่าไร--สรุปว่าจนถึงวันนี้ ที่คุณแม่อยากให้ลูกชายมาอยู่ใกล้ตัว ก็ยังไม่ได้มีโอกาสอยู่ด้วยกัน ทุกวันจึงทำได้แค่ติดตาม Facebook ของลูกชายเหมือนคนอื่น.

...

@ @ @ @

คุณอิ่ม-วีระศักดิ์ ชุณหะจักร มีบ้านอยู่ข้าง รพ.วิชัยยุทธ ซึ่งส่วนหนึ่งทำเป็นเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ อีกส่วนอยู่เอง โดยมีแม่บ้านดูแลทั้งเจ้าของบ้านทั้งผู้เช่า ส่วน รปภ.ไม่ต้องจ้าง เพราะคุณพ่อ ซึ่งมีบ้านอยู่หลังตึก จะคอยสอดส่องให้เอง

พอเกิดการระบาด คนที่ คุณอิ่ม ห่วงที่สุดก็คือคุณพ่อ เพราะถึงจะเป็นผู้สูงวัย ที่ไม่มีโรคประจำตัวก็เถอะ แต่ก็เป็นกลุ่มเสี่ยงชั้นดี คุณอิ่ม จึงประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในบ้าน กำชับคุณพ่อว่าระยะนี้ ไม่ให้ออกจากบ้านเด็ดขาด นอกจากห้ามคุณพ่อแล้ว คุณอิ่ม ยังห้ามแม่บ้าน เพราะกลัวจะไปรับเชื้อมาติดคุณพ่อ

ตอนนี้ คุณอิ่ม จึงเป็นคนเดียวที่เสียสละออกนอกบ้าน ด้วยเหตุผลว่าไม่อยากให้ทุกคนออกไป เจอความเสี่ยง แต่คุณพ่อก็เลือดทหารผ่านศึกเก่าและยังแข็งแรง ก็พยายามอ้างกับ คุณอิ่ม ว่า พ่อต้องไปซื้อยา พ่อต้องไปหาหมอ สารพัดจะหาเหตุผลในการออกไป เหมือนที่เคยออก คุณอิ่ม จึงสกัดด้วยการบอกว่า พ่ออยากได้อะไร ผมจะไปเอาให้เอง ส่วนแม่บ้าน บางวันก็อยากจะไปตลาด แต่ คุณอิ่ม ก็ไม่ยอม บอกให้จดรายการมา ชั้นจะไปซื้อให้ ดังนั้น แม้แต่ ขาดพริก ขาดกระเทียม คุณอิ่ม ก็ยังออกไปซื้อ--อ้อ คุณพ่อที่ว่า ก่อนนี้ยังออกนอกบ้านเกือบทุกวันเนี่ย อายุ 99 แล้วนะนั่น.

โสมชบา