ค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นกระทบต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในภูมิภาค ตั้งแต่ไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม เปลี่ยนพฤติกรรมหันไปซื้อสินค้าที่จำเป็น ลดค่าใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือย ตั้งแต่ เครื่องประดับแฟชั่น เสื้อผ้า รองเท้า เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ Gadgets ลง ขณะที่การนำปัญญาประดิษฐ์หรือ AI มาใช้ยังไม่ได้ประสิทธิภาพมากนัก เพราะผู้บริโภคไม่ไว้ใจคำแนะนำ ข้อเสนอ และโปรโมชันจาก AI ที่วิเคราะห์จากประวัติการซื้อสินค้าที่ผ่านมาผลสำรวจ EY Future Consumer Index (FCI) ฉบับที่ 13 ซึ่งสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคกว่า 22,000 ราย ใน 28 ประเทศ โดยมีผู้บริโภคในภูมิภาคอาเซียน 3,000 ราย และ ผู้บริโภคในไทย 1,000 ราย พบว่า 95% ของผู้บริโภคไทย (89% ในอาเซียน และ 94% ทั่วโลก) กังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยคนไทย 62% (55% ในอาเซียน และ 51% ทั่วโลก) ลดการใช้จ่ายสำหรับสินค้าและบริการที่ไม่จำเป็นลงโดยหมวดหมู่สินค้าที่คนไทยพิจารณาลดค่าใช้จ่ายมากที่สุด ได้แก่ หมวดหมู่เครื่องประดับแฟชั่น (65% ในไทย 59% ในอาเซียน และ 61% ทั่วโลก) รองลงมาได้แก่ สินค้าหมวดเสื้อผ้าและรองเท้าเป็นอันดับสอง (57%) ตามด้วยสินค้าเฟอร์นิเจอร์ในบ้านเป็นอันดับสาม (53%) ในขณะที่ผู้บริโภคในอาเซียนและทั่วโลก ลดค่าใช้จ่ายสินค้าประเภทของเล่นและเครื่องมืออุปกรณ์ gadgets เป็นอันดับสอง (47% ในอาเซียน และ 51% ทั่วโลก) ตามด้วยเฟอร์นิเจอร์ในบ้านเป็นอันดับสาม (45% ในอาเซียน และ 41% ทั่วโลก)นริศรา พัตนพิบูล หัวหน้าสายงานบริการที่ปรึกษาธุรกิจ EY ประเทศไทย กล่าวว่า แรงกดดันทางเศรษฐกิจส่งผลให้ผู้บริโภคระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ผู้ผลิตสินค้าและผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีก (CPR) จึงต้องปรับแผนธุรกิจให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ด้วยการเพิ่มการใช้ช่องทางออนไลน์ มีบริการจัดส่งสินค้า และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายขึ้นเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของลูกค้า“การลดราคาครั้งใหญ่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพราะเป็นกิจกรรมที่สามารถดึงดูดผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง 72% ของผู้บริโภคชาวไทย (77% ในอาเซียน และ 61% ทั่วโลก) บอกว่าสนใจในสินค้าลดราคา โดยชาวไทยมากถึง 92% (อาเซียนและทั่วโลก 71%) เลือกรอจนกว่าสินค้าจะลดราคา จึงจะซื้อ”อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาข้อมูลเฉพาะของไทย จากรายงานผลการศึกษา FCI เปรียบเทียบข้อมูลระหว่างปี 2565 และปี 2566 พบว่า รูปแบบการซื้อสินค้าเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน โดยผู้บริโภคนิยมการซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มขึ้น 21% ส่วนการซื้อสินค้าที่ร้านลดลง 16%“การเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นโอกาสทางธุรกิจที่ผู้ค้าปลีกต้องพัฒนากลยุทธ์การขายหลากหลายช่องทาง (Omnichannel) รวมทั้งใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เช่น AI และ Big Data เพื่อเพิ่มยอดขาย กำไร และสร้างความภักดี (Customer loyalty) ในแบรนด์ให้ดียิ่งขึ้น”อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจที่มีการสอบถามว่า AI มีผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างไร มีผู้บริโภคชาวไทย 16% (19% ในอาเซียน และ 18% ทั่วโลก) ระบุว่ามีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับ AI และการใช้งานเทคโนโลยีนี้เป็นอย่างดี แต่ไว้ใจคำแนะนำที่มาจาก AI น้อยลง โดยผู้ตอบแบบสอบถามไม่ถึงหนึ่งในสาม (22% ในไทย 29% ในอาเซียน และ 21% ทั่วโลก) บอกว่าไว้ใจในโปรโมชันและข้อเสนอที่มาจาก AI ขณะที่ 21% ในไทย (28% ในอาเซียน และ 22% ทั่วโลก) บอกว่าไม่เชื่อมั่นในการแนะนำสินค้า จากประวัติการซื้อสินค้าที่ผ่านมาของพวกเขา“ความท้าทายของเทคโนโลยี เช่น AI และ Big Data คือการสร้างความไว้วางใจในด้านการรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและความโปร่งใสในการเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลของผู้บริโภค อนาคตของการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในธุรกิจช็อปปิ้งออนไลน์ ส่วนหนึ่งจึงขึ้นอยู่กับการใช้นวัตกรรมและสร้างความไว้วางใจได้อย่างสมดุล โดยผู้ค้าปลีกต้องให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า รวมถึงความโปร่งใสในการใช้ข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากการวิเคราะห์ของ AI”คลิกอ่านคอลัมน์ “บทความไซเบอร์เน็ต” เพิ่มเติม