ใครที่ชอบด้อยค่าประเทศไทยเชิญมามุงทางนี้ เพราะขนาดทายาทธุรกิจอสังหาฯใหญ่ของเมืองไทย KE Group “กฤษฏิ์ เอี่ยมสกุลรัตน์” ซึ่งเป็นนักเรียนนอกเต็มตัว คว้าปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และปริญญาโท ด้านเรียลเอสเตท จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ยังประกาศชัดว่าเมืองไทยมีดีกว่าที่คิด แค่รอการปลดล็อกเพื่อเผยแวลูแท้จริง ซึ่ง “หนุ่มคริส” อาสาไขกุญแจปลุกปั้นประเทศไทยให้เป็นแพลตฟอร์มการลงทุนใหม่เชื่อมโลกเชื่อมอนาคต เพื่อสร้างโอกาสการลงทุนที่เหนือกว่าปัจจุบัน
“เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ญี่ปุ่นและเกาหลีเริ่มลงทุนใน “อัลเทอร์เนทีฟ อินเวสเมนต์” จนกลายเป็นตัวเร่งให้เศรษฐกิจโตแบบก้าวกระโดด ตอนนี้ถึงเวลาของไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่จะได้เห็นถึงโอกาสการลงทุนใน “อัลเทอร์เนทีฟ อินเวสเมนต์” ซึ่งเป็นการลงทุนในสินทรัพย์โดยตรงแบบผู้ก่อตั้ง ในบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่มีศักยภาพเติบโตดี เช่น ไพรเวท อิควิตี้, เรียลเอสเตท และเรียลแอสเสทต่างๆ โดยกระจายการลงทุนหลากหลายธุรกิจทั่วทุกมุมโลก ผมค้นพบว่าการลงทุนแนวนี้มีความเสี่ยงต่ำกว่า แต่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในเมืองไทย”...ผู้บริหารหนุ่มไฟแรง วัย 26 บอกเล่าด้วยความตื่นเต้น

...
การลงทุนแนวนี้ยังใหม่มากสำหรับคนไทย มีโอกาสอะไรดีๆซ่อนอยู่บ้าง
เมื่อ 5 ปีก่อน ผมได้แนวคิดนี้ระหว่างดูแลการลงทุนของครอบครัวในต่างประเทศ ทำให้เห็นว่าผู้บริหารกองทุนต่างประเทศไม่ได้มีโอกาสที่ดีที่สุดในตลาด แต่คนที่มีโอกาสดีที่สุดคือโลเคิลโอเปอเรเตอร์ในแต่ละเมือง ซึ่งเรามีคอนเนกชันและเคยร่วมลงทุนด้วยกันมานาน จากความคิดนี้ทำให้ผมเริ่มก่อตั้ง “ALLY GLOBAL MANAGEMENT” เพื่อเป็นแพลตฟอร์มเชื่อมการลงทุนระดับโลก เปิดประตูให้นักลงทุนชาวไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก้าวสู่แลนด์สเคปการลงทุนระดับโลกโดยตรง ไม่ผ่านคนกลางหลายขั้น ปัจจุบันคนไทยไปลงทุนในต่างประเทศน้อยมาก หรือถ้าไปลงทุนก็ลงทุนแบบต่อลงมาหลายขั้นไม่ใช่เทียร์วัน ทำให้ไม่ได้ดีลที่ดี และผลตอบแทนน้อยกว่ามาก เพราะของดีส่วนใหญ่จะให้โลเคิลโอเปอเรเตอร์เป็นคนเลือกก่อน

“ALLY GLOBAL MANAGEMENT” มุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจอะไรบ้าง
เน้น 4 ธุรกิจหลัก คืออสังหาริมทรัพย์ (Real Estate), สื่อและความบันเทิง (Media & Entertainment), ที่อยู่อาศัยและโรงแรม (Hospitality) และเทรนด์การลงทุนแห่งอนาคต เช่น พลังงานสะอาด และธุรกิจเพื่อความยั่งยืน โดยการลงทุนในอสังหาฯ นอกจากเลือกลงทุนในทำเลใจกลางเมืองที่ดีที่สุดของอเมริกา เช่น ใจกลางนิวยอร์ก, เบเวอร์ลี ฮิลส์ และไมอามี ยังต้องสร้างใหม่ยาก เราจะซื้อในราคาที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการก่อสร้างใหม่เอง หรือต่ำกว่าราคาตลาดเยอะมาก และร่วมลงทุนกับครอบครัวที่เก่งและมีชื่อเสียงดี เช่น แทนที่จะลงทุนกับกองทุนทั่วไป เราลงทุนกับผู้ก่อตั้งกองทุนชื่อดังขนาดใหญ่อย่าง แฟมิลี่ของ “เดวิด รูบินสไตน์” เจ้าของ “Carlyle Group” ซึ่งมีโอกาสเลือกสิ่งที่ดีกว่าก่อนใครๆ พาร์ตเนอร์เราเคยเป็นหัวหน้าทีมการลงทุนอสังหาฯให้กับโกลด์แมน แซคส์ และเมอร์ริล ลินช์ ทำให้รู้จักโลเคิลโอเปอเรเตอร์ที่ดีที่สุดในตลาดหลักๆ เราจึงได้เลือกของดีก่อนคนอื่น ผลลัพธ์ที่ได้จากการลงทุนแนวนี้สามารถสร้างผลตอบแทนตั้งแต่ 18-40% ต่อปี

อะไรคือกลยุทธ์ความสำเร็จที่เหนือชั้นกว่าตลาด
เราลงทุนในสินทรัพย์โดยตรงแบบผู้ก่อตั้ง ในขณะที่เจ้าอื่นๆลงทุนแบบต่อลงมาหลายขั้น ทำให้มักจะไม่ได้ดีลที่ดี และผลตอบแทนน้อยกว่ามาก ขณะเดียวกัน เรามีโอกาสเห็นสินทรัพย์ก่อนคนอื่นๆ เพราะในอเมริกาเรื่องคอนเนกชัน, ชื่อเสียง และความชัดเจนสำคัญที่สุด นอกจากนี้ เราจะเลือกเฉพาะสินทรัพย์ที่ดีมีศักยภาพสูง ในทำเลโดดเด่นที่มีซัพพลายจำกัด โดยจะไม่ลงทุนหรือซื้อแพงเด็ดขาด เรามีจุดยืนเรื่องราคา แต่ก็นิสัยดีไม่เอาเปรียบและเข้าใจผู้ขาย ทำให้มีพาร์ตเนอร์ชิปที่ดี

...
มองหาโอกาสจากวิกฤติยังไง
ผมเชื่อว่าในทุกวิกฤติย่อมมีโอกาส อย่าง “วิกฤติโควิด” ทำให้เราได้ซื้ออสังหาฯและโรงแรมดีๆในราคาถูกชั่วคราว เช่น ไปลงทุนธุรกิจโรงแรมที่ซิกซ์เซ็นส์ อิบิซา สเปน ปรากฏว่าขายดีแบบได้ราคาค่าห้องสองเท่าทั้งๆที่มีโควิด แถมไม่มีใครสามารถสร้างได้อีกในหลายปีข้างหน้า เพราะใบอนุญาตจำกัด ผลกระทบจากโควิดทำให้ได้เข้าไปลงทุนในโรงแรมที่มีทำเลดีขับรถไม่ไกลจากเมืองใหญ่ๆ ซื้อในราคาถูกมาก เข้าไปปรับปรุงไม่มาก ใส่โอเปอเรเตอร์ที่ดังทั่วโลก ทำให้ขึ้นราคาห้องได้มาก ส่วนการลงทุนด้านเอนเตอร์เทนเมนต์ เมื่อปลายปี 2020 เข้าไปซื้อบริษัทเอนเตอร์เทนเมนต์ใหญ่ที่สุดบริษัทหนึ่งในยุโรป และเพิ่งขายออกไปที่กำไรหกเท่า!! เรายังร่วมลงทุนเปิดร้านอาหารอิตาเลียนกลางโซโห และเพิ่งเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูส 3 ตึก “Cipriani Residences” ในถิ่นเศรษฐีของไมอามี

เห็นโลกกว้างมาเยอะ อะไรคือจุดแข็งและจุดอ่อนของเมืองไทย
เมืองไทยเป็นประเทศที่ทุกคนชอบมากและอยากมาลงทุน เพียงแต่ตลาดไทยยังมีขนาดไม่ใหญ่ และค่อนข้างอ่อนไหวด้านการเมือง ผมคิดว่าธุรกิจในเมืองไทยมีศักยภาพไม่แพ้ชาติใดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะธุรกิจสื่อบันเทิง เทรนด์สตรีมมิงกำลังมาแรงทั่วโลก ทุกคนต้องการคอนเทนต์ดีๆ แต่ทุกวันนี้ธุรกิจสื่อบันเทิงของไทยกลับถูกอันเดอร์แวลูมาก เมืองไทยมีคอนเทนต์คุณภาพที่ดีที่สุดในภูมิภาค แต่ทำไมขายไม่ได้ราคา และไม่ตระหนักถึงคุณค่าแท้จริงของตัวเอง ผมเชื่อว่ามีโอกาสเอาคอนเทนต์บันเทิงไทยเอกซ์พอร์ตส่งออกไปขายทั่วโลก ซึ่งเรามีคอนเนกชันกับค่ายใหญ่ๆในอเมริกา เช่น ผู้บริหารระดับสูงของพาราเมาท์, วอร์เนอร์ บราเธอร์ส, เอ 24 และแพลนบี ของ “แบรด พิตต์” ผมอยากช่วยปลดล็อกแวลูตรงนี้ให้ประเทศไทยได้มีโอกาสทางธุรกิจที่ดีในระดับโลก ตอนนี้เริ่มเซ็นสัญญาลงทุนด้านนี้ มันเป็นโอกาสที่ใหญ่มากๆและมีประโยชน์มากกับประเทศไทย ขณะที่อุตสาหกรรมบันเทิงเป็นแหล่งรายได้อันดับ 8 ของจีดีพี ประเทศเกาหลี ผมเชื่อว่าถ้าปลุกปั้นดีๆอุตสาหกรรมบันเทิงไทยจะสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศเป็นอันดับ 5 ของจีดีพี
ทักษะอะไรที่ขาดไม่ได้ในโลกยุคใหม่
คนยุคใหม่ฮือฮากับกระแสอะไรง่ายๆ โดยไม่ดูว่าพื้นฐานเป็นยังไง มีความเสี่ยงแค่ไหน การโฟกัสกับเรื่องฟันเดเมนทัลที่จับต้องได้ จึงสำคัญสำหรับคนยุคใหม่ ขณะเดียวกัน ผมเชื่อว่าการเดินทางและได้เรียนรู้จากคนเก่งๆทั่วโลกก็สำคัญมาก ทำให้เห็นเทรนด์ใหม่ๆของโลก และมองเห็นโอกาสได้กว้างขึ้น ไม่จำกัดตัวเองอยู่ในกรอบแคบๆแค่เมืองไทย

อะไรคือเป้าหมายมีไว้พุ่งชนในอีก 5 ปีข้างหน้า
สิ่งที่ผมตั้งเป้าไว้คือ ภายใน 5 ปีข้างหน้า “ALLY GLOBAL MANAGEMENT” จะเป็นแพลตฟอร์มด้าน “อัลเทอร์เนทีฟ อินเวสเมนต์” ที่ใหญ่ที่สุดในไทย และเป็นยูนิคอร์นตัวแรกของไทยในด้านนี้
ถามจริงๆเมืองไทยยังน่าอยู่ไหมคะ
เมืองไทยน่าอยู่ที่สุดแล้วครับ แต่พวกเราต้องพยายามดึงคนเก่งๆ จากทั่วโลกเข้ามาทำงานที่เมืองไทย เพื่อช่วยกันสร้างเศรษฐกิจ และสร้างอีโคซิสเต็มใหม่ๆในการยกระดับอุตสาหกรรมของไทย ทำให้ทั้งประเทศฉลาดขึ้น และมีความเข้าใจเทรนด์โลกมากขึ้น

...
ลุยงานหนักขนาดนี้ ทำยังไงไม่ให้ไฟมอด
สำคัญที่สุดคือต้องสนุกกับการทำงานและมีทีมงานที่ฉลาด ซึ่งพร้อมเรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน ในบริษัทเราทุกคนเป็นหัวหน้าหมด สามารถแชร์ไอเดียกันได้หมด ไปกินไปเที่ยวด้วยกันเหมือนพี่น้อง ทำงานด้วยแล้วสนุก มีแพสชันในการทำงาน ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆจากกันและกันในทุกวัน การเจอคนใหม่ๆพูดคุยกับคนหลากหลายธุรกิจทำให้ได้ต่อยอดความคิดไม่รู้จบ
อยากฝากอะไรถึงคนรุ่นใหม่ที่มองหาความสำเร็จชั่วข้ามคืนบ้าง
ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆและอย่ากลัวที่จะล้มเหลว!! คนไทยกลัวล้มเหลวเกินไปจนไม่กล้าเสี่ยง การไม่เสี่ยงเลยจะทำให้ธุรกิจไม่เดินหน้า ถ้าตอนเริ่มลงทุนเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ผมไม่กล้าลองผิดลองถูก ทุกวันนี้ก็คงไม่สามารถสร้างผลตอบแทนน่าพอใจให้กับนักลงทุน อยากให้ทุกคนเปิดใจให้กว้าง พูดคุยกับคนเก่งๆและประสบความสำเร็จให้เยอะๆ จะทำให้เราได้เห็นตัวอย่างดีๆ มาช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงให้ประเทศเราเจริญก้าวหน้า อย่าหยุดที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และต้องขวนขวายไม่หยุดนิ่ง.
ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ