เข้ามารับช่วงสานต่อธุรกิจของครอบครัว สุปราณี ลีรุ่งเรือง ผู้บริหารรุ่นใหม่ที่เข้ามาช่วยธุรกิจที่ผู้เป็นพ่อบุกเบิกทางด้านอสังหาริมทรัพย์ ได้นำประสบการณ์การทำงาน การปรับตัวอย่างรวดเร็วมารับมือกับสถานการณ์วิกฤติโควิดให้ธุรกิจไปต่อได้อย่างมั่นคง

สุปราณี ลีรุ่งเรือง หรือ “สาลี่” ผู้บริหารโรงแรมลีโนว่า ที่ตั้งอยู่ในซอยศรีนครินทร์ 42 เล่าถึงการทำงานของเธอว่า ธุรกิจของที่บ้านเริ่มต้นจากคุณพ่อเป็นผู้บุกเบิกทำอพาร์ตเมนต์ให้เช่าและต่อมาได้รุกธุรกิจโรงแรมที่กรุงเทพฯ ปัจจุบันมีอพาร์ตเมนต์ทั้งหมด 7 แห่ง ประมาณ 1,500 ห้อง โรงแรม 2 แห่ง ที่กรุงเทพฯและพัทยา “ลี่” ได้มาช่วยที่บ้านตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี และปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ โดยมาดูการบริหารจัดการอพาร์ตเมนต์ ตั้งแต่การหาลูกค้า การดูแลอาคาร รวมถึงการจัดการด้านการเงิน จนกระทั่งมีการเปิดโรงแรมลีโนว่าในซอยศรีนครินทร์ 42 มีจำนวน 186 ห้อง “ลี่” ก็ได้เริ่มใช้วิชาที่ร่ำเรียนมาสมัยปริญญาตรี เอกการโรงแรม เข้ามาบริหารจัดการโรงแรม

“ธุรกิจอพาร์ตเมนต์เราทำแบบทั้งรายวันและรายเดือน การดูแลไม่ยุ่งยากเท่างานโรงแรม ซึ่งต้องมีงานบริการ ในการทำงานช่วงแรกๆก็เหนื่อย เพราะเรายังใหม่กับธุรกิจนี้ แต่พอผ่านไปสักระยะถือว่าธุรกิจไปได้ดี โรงแรมเรารับทัวร์จีน วันๆหนึ่งจะมีรถบัสมาจอดประมาณ 18 คัน เรารับทั้งจาก travel agent และจากลูกค้ารายย่อย ช่วงนั้นห้องเต็มตลอดค่ะ เราตั้งใจสร้างโรงแรมลีโนว่ามาเพื่อรับทัวร์จีนเลยค่ะ เพราะช่วงนั้นปริมาณนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนมากันเยอะมาก วิกฤติแรกที่เราเจอคือทัวร์ศูนย์เหรียญ ที่ทำให้เงียบไปพักหนึ่ง แต่ในที่สุดก็ยังกลับมาได้ และมาเจอวิกฤติโควิดที่หนักสุดตั้งแต่ทำงานมาสิบปี ธุรกิจต้องหยุดชะงักทันทีค่ะ การจองห้องเท่ากับศูนย์นานเป็นปีค่ะ”

...

จากวิกฤติครั้งนี้ ผู้บริหารสาวบอกถึงการตัดสินใจในการทำงานให้ธุรกิจไปต่อว่า ที่บ้านได้มาคุยกัน พี่ชายและพี่สาวที่เราร่วมกันบริหาร เราควรปรับตัวอย่างไร ให้ธุรกิจไปรอด สุดท้ายเลยตัดสินใจว่าจะทำโรงแรมลีโนว่าให้เป็นโรงแรม ASQ (Alternative State Quarantine)

“ตอนแรกเราเองก็กลัวว่ามันจะอันตราย มีความเสี่ยงมากไหมกับพนักงานของเรา แต่หลังจากศึกษาหาข้อมูลกับโรงพยาบาลที่เป็น partner กับเราแล้วทำให้เรามั่นใจได้ว่า procedures ต่างๆที่เคร่งครัดจะไม่ทำให้เรามีความเสี่ยงค่ะ เราจึงตกลงทำเป็น ASQ ค่ะ ที่เราเลือกเป็น ASQ เพราะเรายังมีพนักงาน ที่เปรียบเสมือนคนในครอบครัว ซึ่งเราต้องดูแลและทำให้ธุรกิจและพนักงานเดินต่อไปได้ โดยเราได้มีการอบรมให้ความรู้แก่พนักงานทุกคนพร้อมเตรียมอุปกรณ์ป้องกันในการดูแลทำความสะอาด รวมทั้งมีการประชุมทุกเดือนให้ทุกคนทำตามหน้าที่ของตัวเอง หากมีอะไรห้ามปกปิดค่ะ”

ในวิกฤติก็มีโอกาส ทำให้ผู้บริหารคนนี้บอกว่า สถานการณ์โควิดนี้ได้ให้แง่คิดว่าการทำงานต้องรวดเร็ว ตัดสินใจฉับไว กล้าตัดสินใจ และลงมือทำเลย และ “ลี่” เชื่อว่าต่อไปการท่องเที่ยวจะมีรูปแบบที่เปลี่ยนไปแน่นอนค่ะ การมาแบบ group ใหญ่ๆ เหมือนเดิมคงจะไม่มีอีกแล้วหรือถ้ามีอาจจะน้อยมาก ดังนั้นเราต้องพร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ตลอดเวลา.