มีการประมาณการว่า ภายในปี 2020 มูลค่าการตลาดของการรักษาด้วย ภูมิคุ้มกันบำบัดน่าจะอยู่ที่ประมาณ 21,100 ล้านเหรียญ เทียบกับเมื่อปี 2015 ที่มีมูลค่าการตลาดอยู่ราว 3,000 ล้านเหรียญ หรือมีอัตราการเติบโตสูงถึง 139% องค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง หรือ IARC ขององค์การ อนามัยโลก ระบุว่า ภายในปี 2020 จะมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งมากกว่า 10 ล้านคนต่อปี กว่าครึ่งหนึ่งอยู่ในทวีปเอเชีย และจะมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่เพิ่มขึ้นราว 20 ล้านคนต่อปี สาเหตุหลักๆมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ระวังหรือไม่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเท่าที่ควรในอดีตการรักษามะเร็งมีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป เช่น การผ่าตัด การฉายรังสี การให้ยาเคมีบำบัดหรือยาคีโม แต่ที่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออกก็คือการรักษาด้วย วิธีการ ภูมิคุ้มกันบำบัด หรือ Cancer Immunotherapy จริงๆแล้ว ในร่างกายของเรามีเซลล์ผิดปกติเหมือนเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นทุกวัน แต่ด้วยกลไกของร่างกาย ทำให้เซลล์ มะเร็งไม่มีการพัฒนากลายเป็นโรคมะเร็ง เพราะเซลล์ผิดปกตินี้จะทำลายตัวเอง หรือถ้าหลุดรอดจากการทำลายตัวเอง ก็จะมีเซลล์ภูมิต้านทานของร่างกายมาทำลายเซลล์มะเร็ง ทำให้โอกาสที่เซลล์มะเร็งจะกลายเป็นโรคมะเร็งเป็นไปได้ยากขึ้นแม้ภูมิคุ้มกันในร่างกาย หรือ Immuno จะสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งได้ แต่ปัญหาที่สำคัญของมะเร็งบางชนิด คือ มันมีความสามารถที่จะระดมภูมิคุ้มกันหรือสั่งห้ามไม่ให้เม็ดเลือดขาวที่เปรียบเสมือนทหารประจำตัวของร่างกาย เข้ามาทำลายเซลล์มะเร็งได้ เซลล์มะเร็งหลายชนิดจึงสามารถหลบซ่อนและแพร่กระจายได้หลักการสำคัญของยามะเร็งที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน (Cancer Immunotherapy) คือ เมื่อเซลล์ เกิดความผิดปกติจนกลายเป็นมะเร็ง จะมีผิวเซลล์แตกต่างออกไป ซึ่งเม็ดเลือดขาวสามารถแยกแยะได้และคอยฆ่าสิ่งแปลกปลอมก่อนที่จะโตขึ้นมาเป็นก้อนแต่ในคนไข้บางคน เซลล์มะเร็งมีความแข็งแรงขึ้น ภูมิคุ้มกัน ร่างกายแย่ลง เซลล์มะเร็งจึงสามารถพัฒนาตัวเองสร้างสารขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เม็ดเลือดขาวมองเห็นว่ามะเร็งเป็นสิ่งแปลกปลอม ทำให้ไม่เกิดการทำลายเซลล์มะเร็ง หลักการสำคัญของยาภูมิคุ้มกันบำบัด คือ การเข้าไปเพิ่มประสิทธิภาพให้เม็ดเลือดขาวสามารถมองเห็นว่าเซลล์มะเร็งเป็นสิ่งแปลกปลอม เพิ่มกลไกการออกฤทธิ์ ทำให้เม็ดเลือดขาวมีประสิทธิภาพมากขึ้นจนสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้ที่สำคัญคือ การรักษามะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดมีผลข้างเคียงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการรักษาด้วยเคมีบำบัด ซึ่งออกฤทธิ์ทำลายทั้งเซลล์ปกติและเซลล์มะเร็งสำหรับมะเร็งที่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยยาภูมิคุ้มกันบำบัด มีอยู่ประมาณ 10 ชนิด ได้แก่ มะเร็งผิวหนังเมลาโนมา, มะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิด, มะเร็งปอด, มะเร็งศีรษะและลำคอ, มะเร็งในกระเพาะปัสสาวะและระบบทางเดินปัสสาวะ, มะเร็งไต, มะเร็งตับ, มะเร็งเต้านมบางชนิด, มะเร็งกระเพาะอาหารที่ดื้อต่อยาเคมีบำบัด และมะเร็งลำไส้บางชนิด อย่างไรก็ตาม แม้การ รักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดจะได้ผลดีจนเป็นที่นิยมในวงการแพทย์ที่รักษามะเร็ง แต่ก็มีผลข้างเคียงอยู่บ้าง จากการที่เม็ดเลือดขาวมีความสามารถมากเกินไป เช่น ทำให้ผิวเป็นผื่น ลำไส้อักเสบ ท้องเสีย ปอดอักเสบรวมถึงอาจส่งผลกระทบให้ไทรอยด์ทำงานมากหรือน้อยเกินไป หรือน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ ฯลฯการพิจารณาเลือกใช้ยาภูมิคุ้มกันบำบัด นอกจากแพทย์จะดูตามชนิดของมะเร็งแล้ว ระยะของมะเร็งก็มีผลต่อการเลือกใช้ยาเช่นกัน โดยยาภูมิคุ้มกันบำบัดเหมาะสำหรับการใช้รักษามะเร็งระยะที่ 3-4 มากกว่ามะเร็งในระยะที่ 1-2มีตัวอย่างสถิติของการรักษาด้วยยาภูมิ-คุ้มกันบำบัดในผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังเมลาโนมา ที่เดิมอัตราการมีชีวิตรอดหรืออยู่ได้นานถึง 3 ปี มีอยู่ประมาณ 5% แต่เมื่อมีการใช้ยาภูมิคุ้มกันบำบัด ทำให้อัตราการมีชีวิตรอดถึง 3 ปี เพิ่มขึ้นเป็น 42% และยังพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังเมลาโนมาระยะ 4 ซึ่งเซลล์มะเร็งกระจายไปยังปอด ตับและกระดูก ได้รับยาภูมิคุ้มกันบำบัดประมาณ 1 ปีครึ่ง สามารถควบคุมให้โรคสงบ โดยไม่มีผลข้างเคียง และกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ เช่นเดียวกับผู้ป่วยมะเร็งไตที่ได้รับการรักษาด้วยยาภูมิคุ้มกันบำบัดประมาณ 1 ปี สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้โดยไม่มีอาการแทรกซ้อน รวมทั้งผู้ป่วยมะเร็งปอด ที่เดิมการมีชีวิตรอด 5 ปี อยู่ที่ 6% แต่การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดทำให้สัดส่วนการมีชีวิตรอดถึง 5 ปีของผู้ป่วยมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นเป็น 15%จึงไม่น่าแปลกใจที่ปัจจุบันการรักษาด้วยยาภูมิคุ้มกันบำบัดได้กลายเป็นที่แพร่หลายในวงการแพทย์ผู้รักษามะเร็งทั่วโลก ด้วยเหตุผลที่เห็นได้ชัดว่า ทำให้การรักษามะเร็งดีขึ้น มีผลข้างเคียงน้อย ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยปัจจุบันมียาภูมิคุ้มกันบำบัดหลายตัวได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา (อย.) ให้สามารถใช้รักษาผู้ป่วยมะเร็งในประเทศไทยได้.