“ตับ” อยู่ที่ด้านขวาบนของช่องท้องใต้กระบังลม มันเป็นอวัยวะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ซึ่งถ้าตับวายและหามาทดแทนไม่ได้ ถึงจะใช้เครื่องก็อยู่ได้ไม่นาน
เพราะหน้าที่ของมันคือชะล้างสารพิษจากร่างกาย กักเก็บน้ำตาลเพื่อใช้ในช่วงต้นเวลาไม่มีอาหารกิน สร้างฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโตและกระตุ้นร่างกายระบบต่างๆ เช่น ภูมิคุ้มกันในร่างกายอีกด้วย
นอกจากนั้นยังมีหน้าที่สร้างน้ำย่อยสำหรับการย่อยสลายไขมันเพื่อการดูดซึม สร้างโปรตีนหลากชนิด รวมถึงโปรตีนที่สำคัญต่อการแข็งตัวของเลือด
เมื่อตับวายผลจึงถึงชีวิตเพราะสารพิษที่เพิ่มระดับขึ้น จนในที่สุดสมองก็ทำงานต่อไม่ไหว มึนงงสับสน น้ำตาลตกก็ซ้ำทำลายสมองต่อไปอีกทอด ระบบลำไส้ในการย่อยไขมันก็ไม่มีประสิทธิภาพ ผลก็คือลำไส้ไม่สามารถดูดซึมวิตามินที่ละลายอยู่ในไขมันได้เช่นวิตามิน K ร่วมไปกับไม่สามารถผลิตเกล็ดเลือดได้เพียงพอ ทั้งจากการที่ม้ามโตไปจับทำลายเกล็ดเลือด ผลคือระบบการแข็งตัวของเลือดที่ใช้การไม่ได้ เลือดออกง่าย

สุดท้ายมีความดันในตับสูงก็ทำให้เลือดไหลผ่านไม่ดีจึงเกิดท้องบวม เลือดออก และก็เสียชีวิตจากเลือดออกรุนแรงไม่ก็จากการติดเชื้อซ้ำซ้อน
...
เห็นความสำคัญหรือไม่ครับ แต่ด้วยความที่เป็นอวัยวะสำหรับการชะล้างสารพิษ จึงจะถูกกระทบได้มาก โดยเฉพาะเวลากินสิ่งไม่ดีเข้าไปพอซึมเข้าเลือดก็จะผ่านถึงตับก่อน ยาที่คุ้นหู เวลาคิดสั้นก็พารา เป็นกอบเป็นกำแต่วิธีนี้ไม่แนะนำอย่างยิ่งเพราะตายทรมาน ในคนไม่ได้คิดสั้นก็ต้องระวังเพราะเมื่อกินในจำนวนเยอะเช่นเม็ด 500 มิลลิกรัม วันละประมาณ 8 เม็ด เป็นเวลานานก็อาจจะทำให้ตับอักเสบได้เช่นกัน
สาเหตุสำคัญในประ-เทศไทยที่ทำให้ตับวาย หรือไม่ก็มะเร็งตับ อย่างแรกคือไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งหลังๆมาจะติดมาโดยเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันโดยถุงยางอนามัยเยอะขึ้น ซ้ำร้ายไปติดเอชไอวีด้วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายยิ่งอ่อนแอ อย่างที่สองคือเหล้า เรื่องเหล้าให้กลับไปในบท “เหล้าขาวระบาดและหนทางอยู่รอด”

นอกจากที่กล่าวมา ยังมีสาเหตุอีกเยอะ แต่ที่ให้ความสนใจในวันนี้จะขอพูดถึงโรคไขมันพอกตับ (non-alcoholic fatty liver disease) ตามชื่อเลย มีไขมันแทรกและเกาะตับอยู่มากกว่าปกติโดยไม่มีสาเหตุอื่น โรคนี้จะเจอได้มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสังคมเราน้ำหนักเกิน ไขมันในเลือดสูง
สันนิษฐานว่าเกิดมาจากคนที่สุขภาพไม่ดี ไม่ออกกำลังกาย แหล่งเก็บไขมันในร่างกายจึงเก็บไว้ไม่อยู่ แทรกเข้าไปที่กล้ามเนื้อจนร่างกายดื้อต่ออินซูลินและเกิดภาวะร่างกายอักเสบ สุดท้ายไขมันก็มาลงที่ตับ ซึ่งเมื่อมันพอกตับมากเกินไปร่างกายเองก็เห็นความผิดปกติพยายามกำจัดมันออกจากตับจึงกลายเป็นเกิดตับอักเสบเสียอีก ปัญหาคือมันไม่ธรรมดาเพราะสามารถทำให้เกิดตับอักเสบ (non-alcoholic steatohepatitis) ได้ใน 20%
และสุดท้าย 20% ของคนที่เกิดตับอักเสบก็จะเกิดตับแข็ง (cirrhosis) ตับวายและเกิดมะเร็งได้ ไม่มียารักษา
ฉะนั้น ถ้ากลัวก็ไม่ต้องมาหาหมอแต่ทำตามที่เขียนด้านล่าง ใครอ่านอยู่แล้วหัวใสคิดจะกินสแตติน (statin) ลดไขมัน ก็หยุดเลยเพราะสแตตินช่วยลดการสังเคราะห์ไขมันผ่านการหยุดยั้ง HMG-CoA reductase และช่วยเพิ่มการนำไขมันในเลือดมาใช้ แต่ไม่ได้ไปช่วยหยุดกระบวนการสอดแทรกไขมันเข้าไปในตับแต่อย่างใด
วิธีดีๆเพื่อให้ห่างจากโรคไม่ว่าจะเป็นแล้วหรือยังไม่เป็น อย่างแรกคือการออกกำลังกายเพราะจะช่วยให้ร่างกายใช้น้ำตาลได้ดีขึ้น กล้ามเนื้อจะสามารถนำน้ำตาลจากเลือดมาใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องพึ่งอินซูลิน พอน้ำตาลถูกนำไปใช้ จำนวนน้ำตาลเกินก็น้อยลงและลดการผลิตไขมันไตร-กลีเซอไรด์ (triglyceride) บวกกับการบังคับให้ร่างกายนำไขมันที่จุกอยู่ที่พุง ที่ทำกางเกงคับติดกระดุมไม่ได้ ออกมาใช้
คำแนะนำโดยทั่วไปคือออกกำลังกายในระดับเหนื่อยพอสมควร (METs 3.0-6.0) ให้ได้เหงื่อเป็นเวลาอย่างน้อย 150 นาทีต่ออาทิตย์ และมีการยกน้ำหนัก (resistant training) ด้วย
เพื่อให้มีมวลกล้ามเนื้อมาใช้น้ำตาลได้เพิ่มขึ้น
วิธีต่อมาคือกินให้น้อยลง อันนี้ยากจริง อาจจะมีเผลอตัวกินเยอะ ช่วงวันหยุดยาวบ้าง แต่ต้องดึงตัวเองกลับมาให้กินน้อยลงให้ได้ ไม่เช่นนั้นน้ำหนักที่ขึ้นก็จะมีแต่ขาขึ้น ยังมีอีกหลายวิธีในการกินที่จะทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่ดีเช่น การอดอาหารเป็นระยะ (inter-mittent fasting) ประมาณว่าห้าวันกินพอประมาณ อีกสองวันอดอาหารวันละ 16-18 ชั่วโมงต่อวัน ก็จะช่วยให้ร่างกายนำไขมันออกมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
...

เตือนไว้ก่อนว่าไม่เหมาะสำหรับคนเป็นโรคกระเพาะ และคนที่เป็นโรคที่มีความเสี่ยงน้ำตาลต่ำ หมอเองเคยลองแต่ใจไม่แข็งยอมแพ้ให้กับกล้วยทอดตลอด ซึ่งเป็นอาหารที่แย่ที่สุดอย่างนึงก็ว่าได้
ข้อสามคือเลือกอาหารที่เอาใส่ปากตามแบบอาหารเมดิเตอร์เรเนียน เช่น ผลไม้ ผัก ถั่ว ปรับไปรับโปรตีนจากปลา ไก่ โดยเลือกวิธีทำให้สุก เช่น อบหรือนึ่ง และลดการบริโภคเนื้อแดง
ฟังดูก็ไม่ยากเท่าไหร่แต่ทำแล้วต้องทำต่อเนื่องไม่ใช่ทำอยู่สองอาทิตย์เลิก ถ้ายอมก็ไม่ต้องไปพยายามหาทางลัดเช่นสมุนไพรหรืออาหารเสริมบางอย่างเพราะสุดท้ายเราไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง เผลอๆจะมีสารพิษทำตับ หรือไตวายเข้าไปอีก หมอเหนื่อยแล้วพอเถอะยาชุด ยาสมุนไพรไม่รู้ที่มา ออกกำลังกายเท่าที่ทำได้ก็ยังดีครับ นอกเหนือจากที่กล่าวมา ถ้าตับเราสุขภาพดี จากการเปลี่ยนการใช้ชีวิตที่กล่าวมาก็จะลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้อีกด้วย โดยเฉพาะคนที่ออกกำลังกายแล้วติดใจ ออกบ่อยๆจนแทบจะไปวิ่งมาราธอนได้

การศึกษาปี 2020 ในผู้ที่เริ่มออกกำลังกายและพยายามจะไปวิ่งมาราธอน พบว่าเส้นเลือดที่แก่เกินวัย หมดความยืดหยุ่นจะสามารถกลับมากระชุ่มกระชวยได้อีกครั้ง และความดันเฉลี่ยก็จะลดลงอีกด้วย มีแต่ข้อดีทั้งนั้น ออกกำลังกายเยอะก็มีรางวัลเป็นอาหารมื้อใหญ่ได้มากกว่าปกติอีกด้วยนะครับ.
หมอดื้อ