หยิบจับอะไรก็ประสบความสำเร็จเปรี้ยงปร้างไปซะหมด ตั้งแต่เป็นเจ้าแม่นำเข้าสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมระดับโลก ไปจนถึงการพาทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทยเข้าชิงแชมป์โลก 2 สมัยติดต่อกัน และกุมบังเหียนประธานทีมสโมสรฟุตบอลการท่าเรือ แต่ “มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ” ก็ยังถือคติ “ยิ้มได้ เมื่อภัยมา” ไม่เคยประมาทกับชีวิต เพราะประสบการณ์จากการคลุกคลีอยู่ในวงการประกันภัยมาตลอด 2 ทศวรรษ ในฐานะเอ็มดีหญิงวิสัยทัศน์ไกลแห่งเมืองไทยประกันภัย คอยเตือนใจเสมอให้มีสติกับทุกย่างก้าว และพร้อมอ้าแขนรับความท้าทายใหม่ๆที่เข้ามาเป็นบททดสอบชีวิต

“แป้งเรียนในเมืองไทยมาตลอด ก่อนจะไปเรียนต่อปริญญาโทที่บอสตัน ใช้เวลาแค่ปีครึ่งก็จบ หลังจบปริญญาโทใหม่ๆ ไม่เคยคิดอยากทำธุรกิจประกันของครอบครัวเลย เพราะย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ยังมองการขายประกันว่าเป็นอาชีพที่คนรังเกียจ แป้งจึงไปสมัครงานทำที่ลินตาส อยู่ฝ่ายบริการลูกค้า ได้เงินเดือน 27,000 บาท (ณ เวลานั้นก็รู้สึกว้าวแล้ว) จากนั้นมาทำที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ ระหว่างนั้นโชคชะตาก็พาไปให้ได้ทำธุรกิจนำเข้าสินค้าแบรนด์เนมเป็นของตัวเอง เริ่มจากแบรนด์ซีลีน มาถึงแอร์เมส ทั้งๆที่เราไม่เก่งภาษาอังกฤษ พูดฝรั่งเศสไม่ได้ แต่ก็สามารถพิทชิ่งแบรนด์แอร์เมสมาได้ และเป็น “จอยท์ เวนเจอร์ พาร์ตเนอร์” กันมา 22 ปีแล้ว กระทั่งปี 2542 คุณอา (ภูมิชาย ล่ำซำ) ชักชวนให้มาช่วยทำธุรกิจที่บริษัทเมืองไทยประกันภัย ซึ่งแยกตัวออกจากเมืองไทยประกันชีวิต โดยเริ่มจากตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ดูแลด้านการขาย ทำอยู่ 5 ปี ก็ได้ขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการหญิงคนแรกของเมืองไทยประกันภัย”…“มาดามแป้ง” บอกเล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเข้ามาโลดแล่นในวงการประกันภัย

...

“คุณหนูตระกูลล่ำซำ” ลงมาขายประกันภัยเอง ต้องปรับตัวเยอะไหม

แป้งเป็นคนรักการขายตั้งแต่เด็ก ตอนเริ่มทำธุรกิจนำเข้าสินค้าแบรนด์เนม เวลารับสมัครพนักงาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกคนมีสตางค์ แป้งจะถามคำแรกว่า คุณสามารถก้มใส่รองเท้าให้ลูกค้าได้ไหม เพราะแป้งถือว่าการขายกับงานบริการเป็นหัวใจเดียวกัน พอมาทำธุรกิจประกันภัย แป้งก็ออกไปเจอลูกค้าด้วยตัวเองตลอดจนถึงทุกวันนี้ แป้งสอนลูกน้องเสมอว่า เราต้องมืออ่อนสามารถไหว้ทุกคนได้หมด ไม่ใช่ยกมือไหว้เฉพาะเจ้าของกิจการ เพราะทุกคนมีความสำคัญหมด ยอมรับว่าแป้งเป็นคนมีโชค เข้ามาทำปั๊บก็ปิดการขายได้เลย ลูกค้ารายแรกของแป้งคือห้างฯซีคอนสแควร์ ตอนนั้นฮือฮามาก ที่ซีคอนสแควร์เปลี่ยนมาทำประกันกับเมืองไทยประกันภัย แป้งทุ่มเททำงานหนักมาก จนสามารถปลุกปั้นเมืองไทยประกันภัยให้ขยับจากอันดับที่ 15 ของประเทศ ขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 4 ในปัจจุบัน จากบริษัทประกันภัยกว่า 60 บริษัท

สองทศวรรษที่คร่ำหวอดในวงการ เจอวิกฤติอะไรหนักหนาสาหัสที่สุด

นับวันยิ่งทำธุรกิจยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการแข่งขันขับเคี่ยวรุนแรงมาก การปรับสู่โลกดิจิทัลทุกวันนี้ถือเป็นดิสรัปชั่นหนักยิ่งกว่าวิกฤติครั้งไหนๆ แป้งผ่านมาหมดแล้วทุกวิกฤติ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์สึนามิถล่มภาคใต้, ความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศ หรือเหตุการณ์มหาอุทกภัย น้ำท่วมใหญ่ เมื่อปี 2554 เราโดนเคลมประกันมากที่สุดถึงหมื่นล้าน ทำให้บริษัทขาดทุนเป็นครั้งแรก แต่วิกฤติไหนก็ไม่หนักเท่าการโดนเทคโนโลยีดิสรัปชั่น ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วมากจนยากจะตามได้ทัน

ถ้าอยากครองความเป็นหนึ่ง ต้องปรับตัวขนานใหญ่ขนาดไหน

ถึงเวลาแล้วที่เราจะปรับเปลี่ยนรูปแบบขององค์กรอย่างจริงจัง เพื่อให้มีความคล่องตัวขึ้นและไม่อุ้ยอ้าย ในอนาคตธุรกิจประกันภัยจะไม่ได้แข่งกันที่ราคา ไม่ใช่ว่าราคาถูกแล้วจะเป็นผู้ชนะ แป้งว่าจริงๆแล้วลูกค้ามองหาความมั่นคง, ความน่าเชื่อถือ และความครบครันของผลิตภัณฑ์จากบริษัทประกัน แป้งเชื่อว่าปัจจุบันมีการเปิดเสรีมากขึ้น โดยให้ต่างชาติเข้ามาแข่งขันได้ เราต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมรับมือ แป้งอยากให้เมืองไทยประกันภัยเป็นที่หนึ่งในใจคนไทย และคนมาใช้บริการของเราด้วยความรักความเชื่อมั่น ซึ่งพนักงานก็ต้องกระตือรือร้นและพร้อมทำงานเป็นทีมเวิร์ก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน แป้งเชื่อในศาสตร์ของการผสมผสานระหว่างประสบการณ์คนรุ่นเก่ากับมุมมองใหม่ๆของคนรุ่นใหม่

...

อะไรคือหัวใจความสำเร็จของธุรกิจประกันภัย

ทุกวันนี้การซื้อประกันภัยเป็นปัจจัยที่ห้าของคนไทยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นประกันรถยนต์, ประกันอัคคีภัย หรือประกันทรัพย์สินต่างๆ เป็นสิ่งที่ทุกคนยินยอมจ่าย เราไม่จำเป็นต้องบังคับขายของกับคนที่ไม่ต้องการ แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ลูกค้าต้องการคือ ความมั่นคงของบริษัท, ชื่อเสียงของบริษัท, จริยธรรมความโปร่งใสในการทำธุรกิจ, ราคาที่เป็นธรรม, ผลิตภัณฑ์ครบครัน และต้องเคลมจริงจ่ายจริง เหนืออื่นใดต้องมีความจริงใจในการให้บริการ สิ่งนี้จะอยู่ในหัวใจของซีอีโอคนเดียวไม่ได้ แต่ต้องอยู่ในใจพนักงานทุกคน

ระหว่างทีมฟุตบอลกับธุรกิจประกันภัย มีความยากง่ายในการบริหารแตกต่างกันอย่างไร

การทำทีมฟุตบอลเป็นการหลอมรวมพลังใจของคนทุกคนเข้าด้วยกัน ซึ่งทีมหนึ่งมีผู้เล่น 11 คน แต่พนักงานเมืองไทยประกันภัยมี 1,300 คน การจะหลอมให้ทุกคนรวมเป็นทีมเวิร์กเดียวกัน แป้งว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับแป้งการทำธุรกิจประกันภัยต้องอาศัยศาสตร์ความเชื่อในตัวผู้นำไม่ต่างจากการทำทีมฟุตบอล ทั้งสองอย่างแค่มีเงินและเก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีความตั้งใจจริงด้วย เพราะมักเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซึ่งแป้งเชื่อว่าแป้งเป็นคนโชคดีนะ ตอนมาทำทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย ก็สามารถพาน้องๆเข้าชิงแชมป์โลก 2 สมัยติดต่อกัน และพอมาทำทีมสโมสรฟุตบอลการท่าเรือ มีแต่คนเตือนว่าอย่าทำเลย ทำแล้วมีแต่เจ๊งแน่ๆ เพราะปีแรกตกชั้นและกลับขึ้นมาได้ แต่แป้งเชื่อว่าการหลอมรวมใจทุกคนในทีม ทั้งนักบอล, ทีมงาน และแฟนบอล ให้เป็นครอบครัวเดียวกัน ทำให้ทีมขึ้นชั้นมาอยู่ไทยลีกได้สำเร็จภายในปีเดียวกัน

...

ต้องรับหลายบทบาทขนาดนี้ “มาดามแป้ง” จัดสรรเวลายังไงให้ลงตัว

ชีวิตแป้งอยู่ได้ด้วยความสุขและแรงบันดาลใจ เป็นคนอยู่นิ่งๆไม่เป็น ต้องลุกขึ้นมาทำโน่นทำนี่ตลอดเวลา แป้งเชื่อในเรื่องการผสมผสานหลายๆอย่างเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดความสมดุลในชีวิต ยอมรับว่าไม่ค่อยมีเวลาให้ตัวเอง เพราะทำงานหนักมาก และต้องลงรายละเอียดทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่ถ้ามีเวลาเมื่อไหร่ แป้งจะชอบอยู่บ้านทานอาหารกับครอบครัว กำลังใจสำคัญที่สุดของแป้งคือคนที่อยู่รอบตัวแป้ง

แล้วอะไรคือความสุขแท้จริงของ “มาดามแป้ง”

การได้ทานอาหารอร่อยๆ (ต้องเผ็ดเปรี้ยวมาก) แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว ทำให้อารมณ์ดีทันที ความสุขของแป้งเป็นอะไรที่ง่ายๆ บางทีชนะฟุตบอลก็สุขเหมือนขึ้นสวรรค์เลย ยอดขายประกันภัยทะลุเป้าก็แฮปปี้แล้ว ลูกสาวกำลังจบปริญญาตรีจากจุฬาฯก็ทำให้มีความสุขได้แล้ว

...

ถึงวันนี้ “มาดามแป้ง” มีพร้อมทุกอย่างในชีวิตหรือยัง

แป้งไม่คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จมากพอ ยังมีอะไรอีกเยอะที่อยากเรียนรู้ และอยากทำให้สำเร็จ ชีวิตของแป้งมักไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ถึงวันนี้ยังสนุกและอยากลุยอยู่ แต่อีก 7 ปีข้างหน้า พออายุ 60 อาจจะเกษียณเอาดื้อๆไม่ทำอะไรเลยก็ได้ ทุกอย่างขึ้นกับฟ้าลิขิต ต้องขอบคุณทุกประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิต มันคือบทเรียนชั้นดี.

ทีมข่าวหน้าสตรี