การปลดล็อก “กัญชา” ทางการแพทย์ จุดมุ่งหมายสำคัญ คือการให้ผู้ป่วยได้รับประโยชน์สูงสุดและโดยเฉพาะที่ป่วยจากโรคที่รักษาไม่ได้และมีภาวะที่ยากต่อการควบคุมและมีผลกระทบกับคนรอบข้างคนในครอบครัว...ในรายงานนี้ที่จะเรียนให้ทราบตามรายละเอียดด้านล่างเป็นการใช้สารออกฤทธิ์กัญชาสังเคราะห์ THC หรือ tetrahydrocannabinol ในคนป่วยสมองเสื่อม ซึ่งโดยปกติแล้ว THC จะทำให้อารมณ์ดีหรือทำให้อารมณ์สว่างอยู่แล้ว และเป็นที่มาที่ทำให้บางกลุ่มคิดว่าจะทำให้เกิดการติดเป็นยาเสพติดซึ่งอาจจะไม่เป็นความจริง ดังที่มีรายงานสรุปทางวิชาการจากหลายคณะรวมทั้งจากขององค์การอนามัยโลกเองในปลายปี 2017
อย่างไรก็ตาม ในการใช้ยังคงต้องระวังเนื่องจากทำให้กระบวนการของสมองในการสั่งปฏิบัติงานจะเฉื่อยลงบ้าง และจำเป็นต้องระวังอย่างกวดขัน ในการทำกิจกรรมที่สุ่มเสี่ยงอันตรายรวมทั้งการขับรถ ซึ่งในความเป็นจริงอาจไม่ต้องมีความเป็นห่วงมาก เพราะจุดมุ่งหมายเพื่อนำไปใช้ในผู้ป่วยซึ่งมีข้อจำกัดในการดำเนินชีวิตประจำวันบ้างอยู่แล้วในการช่วยเหลือตนเอง และทำให้เป็นภาระกับคนรอบข้างถึงระดับที่ต้องมีคนในครอบครัวอยู่เป็นเพื่อนตลอดหรือถึงกับต้องจ้างคนมาช่วยหรือต้องส่งไปยังสถานพักฟื้น ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ไม่ได้เป็นโรคที่เกิดกับคนเดียวแต่มีผลกระทบกับคนรอบข้างไปทั่ว
ในสังคมผู้สูงอายุขณะนี้ โรคที่พบได้มากขึ้นอย่างมหาศาล โดยเฉพาะกับคนไทยได้รับอิทธิพลจากปัจจัยในทางลบ จากเรื่องของอาหารการกิน จากสารเคมี จากยาพิษ ที่ใช้ในการฆ่าหญ้า แมลง และยังมีทั้งโรคอ้วน เบาหวาน ความดัน สูบบุหรี่ ดื่มสุราอย่างไม่รับผิดชอบ เหล่านี้ส่งผลทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมในอายุที่เร็วขึ้นและอาการแย่ลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทั้งที่มีดวงชะตาหรือยีนที่กำหนดสุขภาพไม่ได้ถึงกับเลวร้ายมาก เนื่องจากมีสภาพการอักเสบเกิดขึ้นในร่างกายและส่งผลไปยังเส้นเลือดทั่วร่างกายรวมทั้งสมองอันเป็นกลไกสำคัญอันดับแรก
...
โรคสมองเสื่อมมีสาเหตุเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุก็จริง เช่นจากที่มีเส้นเลือดตันพรุนทั่วๆไปในสมองจนสมองทำงานบกพร่องผิดพลาด แต่สาเหตุที่สำคัญและพบบ่อยก็คือเกิดจากโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งไม่ใช่ทำให้มีความจำเสื่อมถอยอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีความแปรปรวนทางอารมณ์วุ่นวายจนกระทั่งเกิดคล้ายอาการทางจิตและส่วนมากจะมีการใช้ยาโรคจิตซึ่งทำให้ภาวะเลวร้ายลง เนื่องจากไปกดการทำงานของสมองลงไปอีกและเสียชีวิตเร็วขึ้นอย่างทรมาน...การใช้สารสังเคราะห์ THC เป็นยาดังที่มีในรายงานนี้ พบว่าได้ผลดี
ในประเทศไทยไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องสั่งยาที่ขึ้นทะเบียนเหล่านี้ในต่างประเทศมาให้ผู้ป่วย เพราะประเทศไทยมีกัญชาอยู่ทั่วไปแต่ถูกจำกัดและมองข้ามประโยชน์ ถูกมองเป็นการที่มีแต่โทษตั้งแต่ปี พ.ศ.2522
ที่ง่ายที่สุดที่สามารถนำมาใช้ได้เกือบทันทีคือน้ำมันกัญชา โดยที่สามารถสกัดได้เองเพียงแต่ให้ทราบความเข้มข้นโดยประมาณ ก็สามารถนำมาใช้ได้อย่างปลอดภัยและราคาถูกแสนถูก
จากรายงานการศึกษาในที่ประชุมนานาชาติของสมาคมอัลไซเมอร์ ซึ่งคณะผู้ศึกษาได้รายงานในวันที่ 24 กรกฎาคม 2018 โดยได้ใช้ยากัญชาสังเคราะห์ THC nabilone ซึ่งเป็นยาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้ใช้ในการบรรเทาอาการอาเจียนในผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัด ขนาดที่ใช้อยู่ที่วันละหนึ่งถึงสองมิลลิกรัม มีผู้ป่วยสมองเสื่อม 39 ราย ที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรงทั้งสิ้นอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 87 ปี และ 77% เป็นผู้ชาย ผู้ป่วยเหล่านี้ทั้งหมดมีลักษณะอาการทางอารมณ์ วุ่นวายรุนแรง และควบคุมไม่ได้จากการใช้ยาหลายชนิดซึ่งเป็นยาโรคจิต
จากการให้สารสังเคราะห์กัญชาเป็นเวลาหกสัปดาห์ หยุดหนึ่งสัปดาห์และให้ยาหลอกอีกหกสัปดาห์พบว่าขณะที่ให้กัญชาผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจน สร้างความพอใจให้กับผู้ดูแลและผู้ที่อยู่รอบข้าง โดยที่ทั้งนี้ในบางรายอาจมีอาการง่วงเหงาหาวนอนซึ่งก็สามารถปรับขนาดยาได้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ภาวะที่ทางการแพทย์ทั่วไปมีการยอมรับให้ใช้โดยที่มีความเชื่อมั่นว่า ได้ผล ได้แก่ อาการเจ็บปวดที่เกิดจากเส้นประสาทและระบบประสาทเสียหาย อาการปวดที่เกิดขึ้นจากโรคมะเร็ง อาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกิดจากการใช้ยาเคมีบำบัด โรคลมชักในเด็กที่ดื้อยาสองโรค และอาการแข็งเกร็งของลำตัวแขนขาที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของระบบประสาทที่เกิดจากโรค multiple sclerosis และภาวะเบื่ออาหาร สุขภาพโทรมในคนไข้เอดส์ รวมทั้งเพื่อบรรเทาสภาพคนป่วยโรค Tourette ที่ประกอบด้วยกลุ่มอาการยึกยักของกล้ามเนื้อใบหน้า คอและเนื้อตัวร่วมกับมีการทำเสียงอึกอักหรือเปล่งคำหยาบโดยควบคุมไม่ได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงภาวะและโรคที่กล่าวข้างต้นจะพบว่าการใช้กัญชาในทางการแพทย์แทบจะไม่มีประโยชน์เลย กล่าวคือ ยังมีภาวะและโรคอีกมากมายที่ควรจะได้ประโยชน์ทั้งในด้านของคุณภาพชีวิตเพื่อบรรเทาอาการทนทุกข์ทรมานรวมทั้งในด้านการป้องกันและชะลอโรคไม่ให้ลุกลามมากขึ้น ทั้งนี้ โดยที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แล้ว รวมถึงข้อมูลในผู้ป่วยมาร่วมประกอบกัน
ภาวะและโรคที่ควรต้องควบรวมบรรจุเพิ่มเติมอยู่ในรายการที่กัญชาจะสามารถนำมาใช้ได้ในคนป่วยในประเทศไทย ได้แก่ อาการแข็งเกร็ง ที่อาจร่วมกับการบิดของกล้ามเนื้อที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง ยกตัวอย่างเช่น ที่เกิดจากเส้นเลือดตันหรือแตก ความผิดปกติที่ระดับของไขสันหลัง และรวมถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเด็กหลังคลอดที่มีสมองพิการหรือเจริญเติบโตผิดปกติ อาการปวดทรมาน ที่นอกเหนือจากมะเร็งหรือปวดจากความผิดปกติของเส้นประสาทหรือระบบประสาท ยกตัวอย่างเช่น อาการปวดที่เกี่ยวเนื่องจากการอักเสบของข้อ เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อซึ่งโดยปกติจะต้องใช้ยาแก้ปวดอย่างรุนแรงและร่วมกับยาแก้ปวดที่เป็นอนุพันธ์ของมอร์ฟีน ภาวะของการปฏิเสธอาหาร ทั้งที่เกิดขึ้นจากโรคทางจิตประสาท anorexia nervosa และโรคทางกายที่เกิดขึ้นที่มีผลกระทบกับจิตใจ
...
โรคทางสมองได้แก่โรคพาร์กินสันและโรคสมองเสื่อมเช่นอัลไซเมอร์ ในทางป้องกัน การชะลอโรค และการบรรเทาอาการที่มีอยู่...โรคลมชักทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ที่ไม่สามารถคุมด้วยยากันชักหนึ่งชนิด โรคจิต schizophrenia หรือโรคจิตเภท
ทั้งหมดคือข้อบ่งชี้ในการใช้กัญชาทางการแพทย์และการใช้อาจเป็นการเน้นที่สาร THC หรือ CBD (cannabidiol) หรือทั้ง 2 ตัว ทั้งนี้รูปแบบที่จะเอามาใช้เลยคือ น้ำมันโดยที่น้ำมันกัญชาควรต้องปรับมาตรฐาน ให้ใกล้เคียงกันทุกขวดโดยขนาดและปริมาณที่ต้องใช้ในแต่ละภาวะจะต้องมีข้อมูลอยู่แล้ว ทั้งนี้ แต่ละหยดควรทราบปริมาณคร่าวๆของ THC และ CBD...สำหรับ การวิจัยควรอิงกับตำรับแผนไทยและสืบค้นให้ได้ว่ามีอะไรนอกจาก THC และ CBD ที่สามารถนำมาใช้ได้อีก สำหรับเรื่องเกี่ยวกับมะเร็งจะสามารถเอาเข้าไปใช้ได้เลยเพื่อพยุงคุณภาพชีวิต ในเรื่องของความเจ็บปวดความหดหู่ เบื่ออาหารหรือมีอาเจียนขณะให้เคมีบำบัด
ขนาดที่จะใช้จะมีข้อมูลอยู่แล้ว แต่ถ้าให้ในกรณีของมะเร็งแต่ต้น อาจจะมีปัญหา เพราะไม่ทราบว่าถ้าหวังผลทางรักษาควรเป็น THC หรือ CBD ขนาดใดและอย่างใดมากกว่ากัน ดังนั้น ควรให้ในบริบทที่กล่าวข้างต้น ในขนาดและปริมาณตามวัตถุประสงค์ และต้องยึดกับแผนปัจจุบันเพื่อไม่ให้เสียโอกาส
ส่วนพาร์กินสัน และอัลไซเมอร์ (ที่ไม่มีปัญหาทางอารมณ์) ไม่มีสูตรตายตัว แต่ควรใช้สูตรที่มีทั้ง THC และ CBD เท่ากัน เพราะ THC ได้ทางอารมณ์ เป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิต และทั้ง 2 ตัว มีฤทธิ์ทางชะลอโรค ดังนั้น ใช้ 1:1 และขนาดหรือจำนวนหยดค่อยๆปรับได้.
หมอดื้อ