มนุษย์หมาป่า - สิ่งมีชีวิตประหลาดคล้ายคนและคล้ายอุรังอุตัง
ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวายกลางสงคราม นอกจากทหารจะจ้องแต่สู้รบและรับมือกับข้าศึก ในบางสงครามยังอาจมีอสูรประหลาดแทรกขึ้นท่ามกลางความตายในม่านควันที่กำลังบ้าคลั่งร้อนแรง ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียล โดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูน สัปดาห์นี้ มีเรื่องแปลกๆมาเล่า แฟนานุแฟนลองพิจารณาดูกันเองก็แล้วกันว่ามันจริงหรือไม่
จระเข้ทะเล และเรือดำน้ำอู-28
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 เรือกลไฟอังกฤษไอบีเรียกำลังล่องเรือออกนอกชายฝั่งไอร์แลนด์ แต่ทันใดนั้นก็ถูกเรือดำน้ำอู-28 เรือดำน้ำเยอรมนีโจมตีแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว เรือไอบีเรียพยายามหนี แต่เรืออู-28 ตามติด ยิงตอร์ปิโดเข้าใส่ หลังจากโดนระเบิดจากเรือดำน้ำเข้าสองลูก เรือไอบีเรียก็จมดิ่ง หัวเรือโผล่ลอยชี้ขึ้นไปในอากาศ
...
เรือไอบีเรียอาจถูกลืมไปแล้วหากไม่เพราะบทความที่กัปตันเรือดำน้ำอู-28 บารอน ฟอน ฟอร์สเนอร์ (Baron von Forstner) เขียนไว้ในหนังสือพิมพ์เยอรมันในปี ค.ศ.1933
ในบทความ บารอนเล่าว่าเขายืนอยู่บนหอบังคับการเรือดำน้ำ เฝ้าดูเรือกลไฟกำลังจมลง ประมาณ 25 วินาที หลังจากจมหายไปใต้ผิวน้ำก็มีการระเบิด อาจเกิดจากหม้อน้ำเรือ แต่การระเบิดไม่แค่ทำลายเรือ หากดีดเอาสิ่งมีชีวิตลึกลับตัวหนึ่งขึ้นมาจากทะเล
“สัตว์ประหลาดตัวนั้นยาวประมาณ 20 เมตร รูปร่างคล้ายจระเข้ ขาคู่หน้าและหลังแข็งแรง วิวัฒนาการเหมาะสำหรับว่ายน้ำ หัวยาวที่เรียวไปทางจมูก” เขามองเห็นเจ้าสิ่งมีชีวิตนี้อยู่ประมาณ 10-15 วินาที ในระยะห่าง 100-150 เมตร ท่ามกลางแสงแดดสดใส
รายงานนี้ทำให้นักสัตววิทยา เบลเยียม แบร์นาร์ด อูแวลมงส์ (Bernard Heuvelmans) ผู้คิดคำว่า “วิทยาสัตว์ลึกลับ” (cryptozoology) ให้ความเห็นว่า สิ่งที่เห็นจากเรือดำน้ำอู-28เป็นหนึ่งในสี่สิ่งที่เชื่อถือได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์! อาจด้วยเหตุระเบิดนั่นเองที่ดีดตัวสัตว์ขึ้นจากน้ำ อูแวลมงส์คาดว่าสิ่งมีชีวิตที่บารอนเห็นอาจคือจระเข้ยักษ์ทะเลจากยุคไดโนเสาร์ที่ยังเหลือ ในสกุลของ Thalattosuchia
แม้อูแวลมงส์จะประเมินเช่นนั้น แต่ก็มีความคลางแคลงว่า บารอนอาจแต่งเรื่องราวทั้งหมดขึ้นตามเรื่องของเขา ลูกเรืออื่นๆอีกเจ็ดคนเห็นเจ้าสิ่งมีชีวิตนี้ด้วย แต่โชคร้าย หกคนเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุระหว่างสงคราม เมื่อปี 1917 เพราะเรือลำนี้จม พยานรอดตายเพียงคนเดียวคือพ่อครัวของเรือดำน้ำ โรเบิร์ต แมส (Robert Maas)
ผู้ไม่เคยเขียนเรื่องเหตุการณ์ไว้เลย นอกจากนี้ผู้รอดชีวิต 61 คนของเรือกลไฟไอบีเรียก็ไม่เห็นจระเข้ยักษ์ยุคล้านปีแต่อย่างใด ถ้าจะกล่าวอย่างเป็นธรรม ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าพวกเขามัวแต่วุ่นวายเอาชีวิตรอดละมัง
บิ๊กฟุตตัวเล็ก (The Little Bigfoot)
จอห์น แม็คคินนอน นักสัตววิทยาชาวอังกฤษ โด่งดังขึ้นในช่วงปี 1990 เมื่อเขามีส่วนช่วยค้นพบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสามชนิดใหม่ที่ยังไม่มีการค้นพบจากเขตอนุรักษ์ธรรมชาติวูกวาง (Vu Quang Nature Reserve) อันห่างไกลของเวียดนาม แต่จากหนังสือปี 1974 ของเขา ในเรื่องการค้นหาตัวลิงแดง (The Red Ape) แม็คคินนอนกล่าวว่า อาจมีสิ่งมีชีวิตที่มากกว่าคำว่าธรรมดาซ่อนตัวอยู่ในป่าฝนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีก...
แม็คคินนอนเล่าว่า ครั้งหนึ่งที่เขากำลังเดินทางผ่านป่าในรัฐซาบาห์ มาเลเซีย “ผมเห็นภาพที่ทำให้ผมหยุดนิ่งราวกับไร้ลมหายใจ มันสร้างความประหลาดใจจนผมต้องคุกเข่าลงตรวจสอบอย่างใกล้ชิด มันคือรอยเท้าบนพื้นดิน คล้ายรอยเท้ามนุษย์เป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ใช่มนุษย์ หัวแม่เท้าดูเหมือนของคนเช่นเดียวกับส้นเท้า แต่ฝ่าเท้าสั้นและกว้างเกินไปที่จะ เป็นคน และหัวแม่เท้าใหญ่ก็อยู่ด้านตรงข้ามของส่วนที่ควรจะเป็นโค้งฝ่าเท้า มันทำเอาผมขนลุกซู่ ปรารถนาจะหันหัวกลับบ้านอย่างแรงขึ้นมาทันที ผมเล่าเรื่องนี้ให้คนเรือฟัง แต่คนเรือของผมดูไม่แปลกใจเลย เขาบอกว่า รอยเท้านั้นเป็นของคนป่า หรือบาทาทุต (Batatut)”
...
“ผมไม่สบายใจเมื่อพบมัน และไม่อยากติดตามไปค้นหาสิ่งที่เป็นปลายทาง ผมรู้ว่าไม่มีสัตว์ใดที่เรารู้จัก จะสามารถทำให้เกิดรอยทางอย่างนั้นได้ แต่โดยไม่ทันนึกว่าจะหลีกเลี่ยงพื้นที่นั้นเป็นพิเศษน่าเสียดายว่า การสำรวจเดือนต่อๆ มาผมเพิ่งตระหนักว่าจะไม่ได้กลับไปที่นั่นอีกเลย”
ประสบการณ์ของแม็คคินนอนทำให้เกิดความสนใจในวงกว้างถึงตำนานของบาทาทุต บิ๊กฟุตขนาดเล็กที่คาดว่าน่าจะซ่อนตัวอยู่ในป่าของเกาะบอร์เนียวและภูมิภาคอินโดจีน ซึ่งก็น่าจะช่วยอธิบายได้ถึงเรื่องที่บันทึกไว้ในหนังสือ “แปลกแต่จริง-เรื่องราวในสงครามเวียดนาม” ของเครกก์ พี เจ จอร์เกนสัน (Kregg P.J.Jorgenson) เล่าว่าทหารอเมริกันหกคนลาดตระเวนในป่าลึกของเวียดนาม เมื่อพวกเขาแลเห็นสิ่งมีชีวิตประหลาดอย่างหนึ่งคล้ายลิง สูงราว 150 เซนติเมตร ทั้งตัวเต็มไปด้วยขนรุงรังสีแดง เดินตัวตรงผ่านที่แจ้ง ทหารคาดว่ามันอาจจะเป็นอุรังอุตัง แต่ต่อมาจึงนึกได้ว่า ไม่มีลิงอุรังอุตังในเวียดนาม
...
น่าเศร้า...ไม่มีข่าวสิ่งมีชีวิตนั้นอีกแล้ว เป็นไปได้ว่าหน่วยบิน 101 น่าจะทิ้งระเบิดทำลายสัตว์ประหลาดที่น่าตื่นตาตื่นใจจนสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปเสียแล้ว
อสูรมอร์บาร์ค (The Morbach Monster)
เมือง Wittlich ของเยอรมนี เป็นเมืองสุดท้ายที่มนุษย์หมาป่าถูกสังหาร แต่ก็คงไม่เลื่องลือถ้าทหารสหรัฐฯ
ที่ประจำอยู่ในพื้นที่จะไม่ช่วยกระพือกันต่อไป
ตามเรื่องเล่าว่าโธมัส โยฮานเนส ชไวเซอร์ ทหารในกองทัพนโปเลียนคนหนึ่งหนีทัพจากมอสโกมาพบเมืองนี้เข้า เมื่อผ่านทางเข้ามา ทหารโหยหิวพบบ้านไร่เป็นบ้านแรกก็ปรี่เข้าปล้น และฆ่าชาวนากับลูกชายซะ เมียชาวนาตามมาข้างหลัง ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็เสียใจและโกรธจัด นางกรีดร้องและเอ่ยสาปทหารโหด “แต่นี้ต่อไป จันทร์เต็มดวงเมื่อใด เจ้าจะกลายเป็นหมาป่าบ้าคลั่ง” ไม่ว่านางจะเป็นแม่มดหรืออย่างไร แต่ว่ากันว่าคำสาปเปลี่ยนเขาเป็นหมาป่าขนาดมหึมา บ้าคลั่ง เต็มไปด้วยความโกรธ และในบัดนั้นชไวเซอร์ก็ตบหัวหญิงชรา จนกะโหลกแตก จากนั้นก็วิ่งพล่านไปทั่วแถบชนบท
ชาวบ้านรู้ข่าวและร่วมมือกันล่าหมาป่า จนสามารถฆ่ามัน
ลงได้ พวกเขานำร่างของมันไปฝังไว้ที่สี่แยก ทำศาลเพียงตาเล็กๆ ตั้งเทียนจุดไว้ต่อเนื่องไม่ดับ เพราะพวกเขาเชื่อว่า หากเทียนดับ มนุษย์หมาป่าจะลุกขึ้นจากหลุมได้อีก
...
เรื่องราวนี้เป็นที่รู้จักดี ทีมฟุตบอลท้องถิ่นยังขนานนามทีมตนว่า “อสูรมอร์บาร์ค” แต่สิ่งน่าสนใจกว่านั้นคือ ในช่วงสงครามเย็นมีทหารอเมริกันจำนวนมากที่เห็นสัตว์คล้ายหมาป่าลึกลับขณะออกลาดตระเวน
ตามเรื่องราวที่มหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์กรวบรวมไว้ เล่าว่า สารวัตรทหารกลุ่มหนึ่งไปสะดุดเข้ากับเจ้าสิ่งมีชีวิตคล้ายสุนัข ซึ่งยืนขึ้นด้วยขาหลังของมัน และจ้องมองมาที่พวกเขา เจ้าสิ่งมีชีวิตนั้นกระโดดยาวๆ กระโจนข้ามรั้วขนาดสูงกว่าคนได้อย่างสบายๆ แล้วสัตว์ร้ายก็หายเข้าป่าไป สารวัตรไปนำสุนัขดมกลิ่นมา แต่มันตัวสั่นด้วยความกลัว และไม่ยอมติดตามหาเจ้าสิ่งมีชีวิตนั้น
มังกรบรอสโน (The Brosno Dragon)
ทะเลสาบบรอสโน (Lake Brosno) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงมอสโก ทะเลสาบแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ลึกจนน่าแปลก คราวหนึ่ง ทัพทหารม้าโหดชาวตาตาร์ซึ่งกำลังเคลื่อนพลจะเข้าโจมตีเมืองนอฟโกร็อด (Novgorod) ตัดสินใจหยุดพักให้หายเหนื่อยริมทะเลสาบเสียคืนหนึ่งก่อน จู่ๆก็มีสัตว์ประหลาดคล้ายสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่พุ่งตัวขึ้นมาจากผืนน้ำเข้าโจมตีคนและม้า ทำเอาทหารตาตาร์หนีกันกระเจิง พวกเขาถือว่าการถูกมังกรโจมตีเป็นสัญญาณไม่ดี เลยตัดสินใจทิ้งนอฟโกร็อดแล้วกลับบ้าน
ตำนานเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดในทะเลสาบยังมีอีกมากมายจนทำให้ “บรอสเนีย” (Brosnya) ดังเทียบเท่ากับสัตว์ประหลาดล็อคเนสส์ ทำให้ในปี 2002 กลุ่มยูเอฟโอรัสเซียจัดโครงการใช้โซนาร์อ่านก้นทะเลสาบ และรายงานว่าพบ “มวลเหมือนเยลลี่ขนาดใหญ่มาก” ลอยตัวอยู่เหนือก้นทะเลสาบ แต่เพราะความเป็นรัสเซีย พวกเขาเลยยิงลูกระเบิดลงไปในน้ำ เพื่อให้มันลอยขึ้นมาสู่ผิวน้ำ แต่ก็ไม่มีอะไรคล้ายสัตว์ประหลาดโผล่ขึ้นมา
คนโซเวียตบางคนที่ยังแคลงใจ หาทางอธิบายสถานการณ์ที่มองเห็นสัตว์คล้ายมังกรด้วยวิธีวิทยาศาสตร์ เช่น อาจเป็นไปได้ว่า ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์รวมตัวกันที่ก้นของทะเลสาบ แล้วผุดลอยขึ้นมาที่พื้นผิว ทำให้ฟองอากาศระเบิดจนอาจจะเข้าใจผิดว่ามาจาก
สิ่งมีชีวิตใต้น้ำ หรือการแตกหักของภูเขาไฟที่ด้านล่างของทะเลสาบอาจดีดฟองอากาศของก๊าซชนิดเดียวกันขึ้นมาก็เป็นได้ หรือบางทีอาจจะเป็นแค่กวางเอลก์ว่ายน้ำข้ามทะเลสาบก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม ถ้าเชื่อว่ามันคือกวางขนาดใหญ่ มันก็คงไม่อาจโดดขึ้นจากน้ำ แล้วกลืนกินเครื่องบินเยอรมันทั้งลำ ดังที่มีข่าวลือว่ามังกรบรอสเนียทำอย่างนั้นในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 กระมัง.
โดย :อัปสรศิลา
ทีมงานนิตยสาร ต่วย'ตูน